For faster navigation, this Iframe is preloading the Wikiwand page for ภาษาละติน.

ภาษาละติน

ภาษาละติน
จารึกภาษาละตินในโคลอสเซียมแห่งโรม ประเทศอิตาลี
ประเทศที่มีการพูด
ชาติพันธุ์
ยุค700 ปีก่อนคริสตกาล – คริสต์ศตวรรษที่ 18
ตระกูลภาษา
อินโด-ยูโรเปียน
รูปแบบก่อนหน้า
ละตินเก่า
  • ภาษาละติน
ระบบการเขียนชุดตัวอักษรละติน (อักษรละติน)
สถานภาพทางการ
ภาษาทางการ นครรัฐวาติกัน
ผู้วางระเบียบสถาบันสังฆราชสำหรับภาษาละติน
รหัสภาษา
ISO 639-1la
ISO 639-2lat
ISO 639-3lat
Linguasphere51-AAB-aa to 51-AAB-ac
  แผนที่จุดสูงสุดของจักรวรรดิโรมันภายใต้จักรพรรดิตรายานุส (ป. ค.ศ. 117) และพื้นที่ที่บริหารโดยผู้พูดภาษาละติน (สีแดงเข้ม)
นอกจากนี้ยังมีการใช้ภาษาอื่นนอกจากภาษาละตินเป็นจำนวนมาก แม้จะอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิ
ขอบเขตของกลุ่มภาษาโรมานซ์ ลูกหลานในปัจจุบันของภาษาละตินในทวีปยุโรป
บทความนี้มีสัญลักษณ์สัทอักษรสากล หากระบบของคุณไม่รองรับการแสดงผลที่ถูกต้อง คุณอาจเห็นปรัศนี กล่อง หรือสัญลักษณ์อย่างอื่นแทนที่อักขระยูนิโคด

ภาษาละติน (อังกฤษ: Latin; ละติน: latīnum, [laˈt̪iːnʊ̃] หรือ lingua latīna, [ˈlɪŋɡʷa laˈt̪iːna]) เป็นภาษาคลาสสิก ซึ่งอยู่ในกลุ่มย่อยของกลุ่มภาษาอิตาลิก ในตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียน เดิมเป็นภาษาที่มีถิ่นกำเนิดในที่ราบลาติอูง (หรือ แคว้นลัตซีโย ในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นพื้นที่ทางตอนล่างของแม่น้ำไทเบอร์รอบๆ กรุงโรมในปัจจุบัน[1] ด้วยอิทธิพลของสาธารณรัฐโรมัน ภาษาดังกล่าวจึงกลายเป็นภาษาที่มีบทบาทสำคัญในคาบสมุทรอิตาลี และแพร่หลายต่อมาในยุคของจักรวรรดิโรมัน แม้จะเกิดเหตุการณ์ล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกขึ้น แต่ภาษาละตินก็ยังเป็นภาษากลางสำหรับการสื่อสารระหว่างประเทศ สาขาวิทยาศาสตร์ การศึกษา และสาขาวิชาการในยุโรป จนกระทั่งศตวรรษที่ 18 เมื่อภาษาท้องถิ่นในแต่ละภูมิภาค (รวมถึงภาษาลูกหลานของตนอย่าง กลุ่มภาษาโรมานซ์) ก็ได้เข้ามาแทนที่ในฐานะบทบาทของภาษาวิชาการทั่วไปและภาษาราชการ ในปัจจุบันภาษาละตินมีสถานะเป็น "ภาษาที่สูญแล้ว" (dead language) ตามคำจำกัดความในยุคสมัยใหม่ หมายถึง ภาษาที่ไม่มีผู้พูดในฐานะภาษาหลักแล้ว แม้ว่าจะมีการใช้อยู่อย่างแพร่หลายและสม่ำเสมอก็ตาม

ภาษาละตินเป็นภาษาที่มีการผันคำหลากหลาย โดยมีเพศทางไวยากรณ์ที่แตกต่างกันถึงสามเพศ (บุรุษเพศ สตรีเพศ และเพศกลาง) มีการผันการกมากถึง 6 หรือ 7 การก (ได้แก่ กรรตุการก กรรมการก สัมปทานการก สัมพันธการก อปาดานการก สวรการก และ อธิกรณการก) มีวิภัติปัจจัย 5 แบบ มีการเปลี่ยนรูปของคำ 4 แบบ กาล 6 กาล (ได้แก่ ปัจจุบันกาล อสมบูรณ์กาล อนาคตกาล สมบูรณกาล อดีตสมบูรณกาล และอนาคตสมบูรณ์กาล) บุรุษ 3 แบบ มาลา 3 แบบ ประโยค 2 แบบ (ได้แก่ ประโยคที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ และประโยคที่ประธานเป็นผู้กระทำ) การณ์ลักษณะ 2 ถึง 3 แบบ และมีพจน์ 2 พจน์ (ได้แก่ เอกพจน์ และพหูพจน์) โดยชุดตัวอักษรละตินได้หยิบยืมมาจากชุดตัวอักษรอิทรัสคันและชุดตัวอักษรกรีกโดยตรง

ในช่วงท้ายของยุคสาธารณรัฐโรมัน (75 ปีก่อนคริสตกาล) ภาษาละตินเก่าได้รับการจัดระบบให้มีมาตรฐานเป็นภาษาละตินคลาสสิก และมีภาษาละตินสามัญ (Vulgar Latin) เป็นภาษาพูดซึ่งมีมาตรฐานน้อยกว่า โดยมีหลักฐานอยู่ในคำจารึกและงานเขียนของนักเขียนบทละครตลกอย่าง เปลาตุส และ แตแรนติอุส[2] รวมถึงนักประพันธ์อย่าง แปโตรนิอุส ภาษาละตินตอนปลายเป็นภาษาเขียนในคริสตศตวรรษที่ 3 และภาษาละตินในภูมิภาคต่างๆ ก็ได้วิวัฒนาการไปเป็นกลุ่มภาษาโรมานซ์ ในช่วงคริสตศตวรรษที่ 6 ถึงคริสตศตวรรษที่ 9 ในท้ายที่สุด

ต่อมาในยุคกลางไม่มีผู้ใดใช้ภาษาละตินเป็นภาษาแม่อีกแล้ว แต่ถึงอย่างไรภาษาละตินในยุคกลางก็ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายทั่วภูมิภาคยุโรปตะวันตกและในคริสตจักรคาทอลิก นับตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 9 จนถึงสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) ในฐานะของภาษากลางและภาษาวรรณกรรม ซึ่งก็ได้รับการพัฒนาให้มีมาตรฐานแบบแผนมากขึ้น เรียกว่า ภาษาละตินยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance Latin) และได้กลายเป็นรากฐานที่สำคัญให้กับกลุ่มภาษาละตินใหม่ (Neo-Latin) ในช่วงต้นยุคสมัยใหม่ ในช่วงเวลาเหล่านี้ ภาษาละตินถูกใช้ในการจดบันทึกและพูดอย่างแพร่หลาย อย่างน้อยก็จนถึงปลายศตวรรษที่ 17 ซึ่งเป็นช่วงที่ภาษาละตินได้รับความนิยมลดลง จนเหลือแค่การสอนให้อ่านเพียงอย่างเดียว

ถึงอย่างไรภาษาละตินก็ยังเป็นภาษาราชการของสันตะสำนักและพิธีกรรมโรมันของคริสตจักรคาทอลิก (Catholic Church) ที่นครรัฐวาติกันอยู่จนถึงปัจจุบัน คริสตจักรยังคงรักษาและพัฒนารูปแบบวิธีของภาษาให้มีความทันสมัยอยู่อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างความต่อเนื่องในการสืบทอดรูปแบบของภาษาละตินเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ภาษาละตินในยุคปัจจุบัน มักถูกใช้ในการศึกษาเพื่ออ่านเขียนมากกว่าถูกนำไปใช้ในการพูด

ภาษาละตินเป็นภาษาที่มีอิทธิพลต่อภาษาอังกฤษมาตั้งแต่อดีต โดยเฉพาะตั้งแต่หลังจากการเปลี่ยนมานับถือคริสตศาสนาของชาวแองโกล-แอกซอนและการพิชิตอังกฤษของชาวนอร์มัน (Norman conquest) ทำให้คำศัพท์หลาย ๆ คำในพจนานุกรมภาษาอังกฤษ ถูกแทนที่ด้วยคำศัพท์ที่มีรากศัพท์มาจากภาษาละติน (รวมถึงภาษากรีกโบราณ) โดยคำศัพท์ส่วนใหญ่ที่ยืมมาใช้ในภาษาอังกฤษมักถูกใช้นำไปใช้ในสาขาวิชาเทววิทยา แวดวงวิทยาศาสตร์ (โดยเฉพาะ กายวิภาคศาสตร์ และ อนุกรมวิธาน) รวมไปถึง ทางการแพทย์ และสาขาวิชากฎหมาย

ความเป็นมา

ภูมิทัศน์ทางภาษาของอิตาลีตอนกลางในยุคแรกของการขยายตัวของชาวโรมัน

มีการจัดแบ่งพัฒนาการของภาษาละตินไว้อย่างแตกต่างกัน ตามแต่ละช่วงสมัยในประวัติศาสตร์ ภาษาละตินในแต่ละยุคสมัยได้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างกันไป ทั้งในด้านของการใช้คำศัพท์ อักขรวิธี สัณฐานวิทยา ไวยากรณ์ ฯลฯ ในที่นี้นักวิชาการได้ทำการวิจัยและศึกษาถึงคุณสมบัติที่แตกต่างกันของภาษาละตินผ่านการใช้งานในแต่ละยุคสมัย ตามการจำแนกชื่อให้แตกต่างกัน

นอกจากนี้ภาษาละตินคริสตจักร (Ecclesiastical Latin) ก็ยังเป็นรูปแบบอนุพันธ์ของภาษาละตินที่นักเขียนของคริสตจักรโรมันคาทอลิก (Roman Catholic Church) นิยมใช้งานมาตลอดทุกช่วงเวลาของประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่ในช่วงปลายสมัยโบราณ เช่นเดียวกันกับนักวิชาการโปรเตสแตนต์

หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกในปี ค.ศ. 476 ชาวเจอร์แมนิกได้เข้ามาตั้งรกรากในอาณาจักรดั้งเดิมและนําภาษาละตินมาใช้งานสำหรับทางกฎหมายและอื่น ๆ ในกรณีที่เป็นทางการมากยิ่งขึ้น[3]

อิทธิพลของภาษาละติน

อิทธิพลทางวรรณคดี

จูเลียส ซีซาร์ บันทึกเหตุการณ์สงครามแกลลิค เป็นหนังสือภาษาละตินที่มีชื่อเสียงที่สุดเล่มหนึ่งในช่วงยุคทองของภาษาละติน เขียนขึ้นในสไตล์ที่ไม่ขัดเกลา และตรงไปตรงมาของการรายงานเหตุการณ์อย่างนักวารสาร และเป็นต้นแบบของการใช้ภาษาละตินในสาธารณรัฐโรมัน

งานเขียนของนักเขียนโบราณหลายร้อยคนในภาษาละติน มีหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันเป็นจำนวนมาก และถูกศึกษาในปัจจุบันทั้งในสาขานิรุกติศาสตร์ และวรรณคดีคลาสสิก งานของพวกเขาถูกเผยแพร่ในรูปแบบของเอกสารหรือต้นฉบับตัวเขียน (manuscript) มาตั้งแต่ก่อนที่นวัตกรรมทางการพิมพ์จะถูกประดิษฐ์ขึ้น

วรรณกรรมในภาษาละตินมีทั้งในรูปของ เรียงความ ประวัติศาสตร์ บทกวี บทละคร และงานเขียนอื่น ๆ โดยเริ่มปรากฏตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสกาล และกลายมาเป็นภาษาวรรณกรรมหลักของโลกโรมันโบราณในอีกสองศตวรรษถัดมา ในขณะที่ชาวโรมันที่มีการศึกษาก็ยังอ่านและเขียนโดยใช้ภาษากรีกโบราณควบคู่กันไปด้วย (เช่น จักรพรรดิมาร์กุส เอาเรลิอุส ผู้ทรงนิพนธ์งานปรัชญาเป็นภาษากรีก) อาจจะกล่าวได้ว่าวรรณคดีในภาษาละตินก็คือการสืบเนื่องของวรรณกรรมกรีกโบราณ โดยชาวโรมันรับเอารูปแบบงานวรรณคดีของกรีซหลายอย่างมาใช้

เนื่องจากภาษาละตินเป็นภาษากลางในการสื่อสารของยุโรปตะวันตกจนกระทั่งถึงยุคกลาง วรรณคดีภาษาละตินจึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่นักเขียนโรมัน เช่น คิเคโร เวอร์จิล โอวิด และโฮเรส เท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักเขียนยุโรปที่ยังผลิตงานเขียนในภาษาละตินออกมาแม้อาณาจักรโรมันจะล่มสลายไปแล้ว ตั้งแต่นักเขียนด้านศาสนาอย่าง ธอมัส อไควนัส (1225 - 1274) จนถึงนักเขียนฆารวาสอย่าง ฟรานซิส เบคอน (1561 - 1626) บารุค สปิโนซา (1632 - 1677) และ ไอแซก นิวตัน (1642 - 1727)

อิทธิพลต่อภาษาที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

สัทศาสตร์

การออกเสียงแบบโบราณของภาษาละตินได้รับการสืบสร้างทั้งตามข้อสันนิษฐานและหลักฐานการบันทึกไว้ของนักเขียนสมัยโบราณ ซึ่งให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับการออกเสียง การสะกด การเล่นคำ และรากคำจากภาษาโบราณไว้ [4]

พยัญชนะ

ตารางหน่วยพยัญชนะของภาษาละตินคลาสสิก :[5]

ริมฝีปาก ทันตะ เพดานแข็ง เพดานอ่อน เส้นเสียง
plain ริมฝีปาก
เสียงระเบิด โฆษะ b d ɡ ɡʷ
อโฆษะ p t k
เสียงเสียดแทรก โฆษะ z
อโฆษะ f s h
นาสิก m n (ŋ)
เสียงตัว "ร" r
เสียงเปิด l j w

ในภาษาละตินเก่าและภาษาละตินคลาสสิก จะไม่มีการแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างอักษรตัวใหญ่ (uppercase) และตัวเล็ก (lowercase) หรือระหว่างตัวอักษร J, U, W แทนที่จะสะกดด้วยอักษร J, U ก็สามารถใช้ อักษร I, V สะกดแทนได้ตามลำดับ นอกจากนี้อักษร I, V ยังสามารถเป็นได้ทั้งสระและพยัญชนะ

อักษร
ละติน
เสียง
ละติน
ตัวอย่างเทียบกับภาษาอังกฤษ
c [k] Always hard as k in sky, never soft as in central, cello, or social
t [t] As t in stay, never as t in nation
s [s] As s in say, never as s in rise or issue
g [ɡ] Always hard as g in good, never soft as g in gem
[ŋ] Before n, as ng in sing
n [n] As n in man
[ŋ] Before c, x, and g, as ng in sing
l [l] When doubled ll and before i, as clear l in link (l exilis)[6][7]
[ɫ] In all other positions, as dark l in bowl (l pinguis)
qu [kʷ] Similar to qu in quick, never as qu in antique
u [w] Sometimes at the beginning of a syllable, or after g and s, as w in wine, never as v in vine
i [j] Sometimes at the beginning of a syllable, as y in yard, never as j in just
[jj] Doubled between vowels, as y y in toy yacht
x [ks] A letter representing c + s: as x in English axe, never as x in example

เสียงสระ

สระเดี่ยว

หน้า กลาง หลัง
ปิด iː ɪ ʊ uː
กลาง eː ɛ ɔ oː
เปิด a aː
Pronunciation of Latin vowels
อักษร
ละติน
ออกเสียง ตัวอย่าง
a [a] similar to u in cut when short
[aː] similar to a in father when long
e [ɛ] as e in pet when short
[eː] similar to ey in they when long
i [ɪ] as i in sit when short
[iː] similar to i in machine when long
o [ɔ] as o in sort when short
[oː] similar to o in holy when long
u [ʊ] similar to u in put when short
[uː] similar to u in true when long
y [ʏ] as in German Stück when short (or as short u or i)
[yː] as in German früh when long (or as long u or i)

สระประสมสองเสียง

สระประสมสองเสียง
แบ่งตามเสียงเริ่มต้น
หน้า หลัง
ปิด ui /ui̯/
กลาง ei /ei̯/
eu/eu̯/
oe /oe̯/
ou /ou̯/
เปิด ae /ae̯/
au /au̯/

ตัวอย่างภาษาละติน

อ้างอิง

  1. Sandys, John Edwin (1910). A companion to Latin studies. Chicago: University of Chicago Press. pp. 811–812.
  2. Clark 1900, pp. 1–3
  3. "History of Europe – Barbarian migrations and invasions". Encyclopedia Britannica (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-02-06.
  4. Allen 2004, pp. viii–ix
  5. Sihler, Andrew L. (1995). New Comparative Grammar of Greek and Latin. Oxford University Press. ISBN 978-0-19-508345-3. สืบค้นเมื่อ 12 March 2013.
  6. Sihler 2008, p. 174.
  7. Allen 2004, pp. 33–34

บรรณานุกรม

  • Allen, William Sidney (2004). Vox Latina – a Guide to the Pronunciation of Classical Latin (2nd ed.). Cambridge: Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-22049-1.
  • Baldi, Philip (2002). The foundations of Latin. Berlin: Mouton de Gruyter.
  • Bennett, Charles E. (1908). Latin Grammar. Chicago: Allyn and Bacon. ISBN 978-1-176-19706-0.
  • Buck, Carl Darling (1904). A grammar of Oscan and Umbrian, with a collection of inscriptions and a glossary. Boston: Ginn & Company.
  • Clark, Victor Selden (1900). Studies in the Latin of the Middle Ages and the Renaissance. Lancaster: The New Era Printing Company.
  • Diringer, David (1996) [1947]. The Alphabet – A Key to the History of Mankind. New Delhi: Munshiram Manoharlal Publishers Private Ltd. ISBN 978-81-215-0748-6.
  • Herman, József; Wright, Roger (Translator) (2000). Vulgar Latin. University Park, PA: Pennsylvania State University Press. ISBN 978-0-271-02000-6. ((cite book)): |first2= มีชื่อเรียกทั่วไป (help)
  • Holmes, Urban Tigner; Schultz, Alexander Herman (1938). A History of the French Language. New York: Biblo-Moser. ISBN 978-0-8196-0191-9.
  • Janson, Tore (2004). A Natural History of Latin. Oxford: Oxford University Press. ISBN 978-0-19-926309-7.
  • Jenks, Paul Rockwell (1911). A Manual of Latin Word Formation for Secondary Schools. New York: D.C. Heath & Co.
  • Palmer, Frank Robert (1984). Grammar (2nd ed.). Harmondsworth, Middlesex, England; New York, N.Y., U.S.A.: Penguin Books. ISBN 978-81-206-1306-5.
  • Sihler, Andrew L (2008). New comparative grammar of Greek and Latin. New York: Oxford University Press.
  • Vincent, N. (1990). "Latin". ใน Harris, M.; Vincent, N. (บ.ก.). The Romance Languages. Oxford: Oxford University Press. ISBN 978-0-19-520829-0.
  • Waquet, Françoise; Howe, John (Translator) (2003). Latin, or the Empire of a Sign: From the Sixteenth to the Twentieth Centuries. Verso. ISBN 978-1-85984-402-1. ((cite book)): |first2= มีชื่อเรียกทั่วไป (help)
  • Wheelock, Frederic (2005). Latin: An Introduction (6th ed.). Collins. ISBN 978-0-06-078423-2.
  • Curtius, Ernst (2013). European Literature and the Latin Middle Ages. Princeton University. ISBN 978-0-691-15700-9.

แหล่งข้อมูลอื่น

เครื่องมือภาษา

หลักสูตร

ไวยากรณ์และบทเรียน

สัทศาสตร์

ข่าวและเสียงภาษาละติน

สังคมออนไลน์ภาษาละติน

{{bottomLinkPreText}} {{bottomLinkText}}
ภาษาละติน
Listen to this article

This browser is not supported by Wikiwand :(
Wikiwand requires a browser with modern capabilities in order to provide you with the best reading experience.
Please download and use one of the following browsers:

This article was just edited, click to reload
This article has been deleted on Wikipedia (Why?)

Back to homepage

Please click Add in the dialog above
Please click Allow in the top-left corner,
then click Install Now in the dialog
Please click Open in the download dialog,
then click Install
Please click the "Downloads" icon in the Safari toolbar, open the first download in the list,
then click Install
{{::$root.activation.text}}

Install Wikiwand

Install on Chrome Install on Firefox
Don't forget to rate us

Tell your friends about Wikiwand!

Gmail Facebook Twitter Link

Enjoying Wikiwand?

Tell your friends and spread the love:
Share on Gmail Share on Facebook Share on Twitter Share on Buffer

Our magic isn't perfect

You can help our automatic cover photo selection by reporting an unsuitable photo.

This photo is visually disturbing This photo is not a good choice

Thank you for helping!


Your input will affect cover photo selection, along with input from other users.

X

Get ready for Wikiwand 2.0 🎉! the new version arrives on September 1st! Don't want to wait?