For faster navigation, this Iframe is preloading the Wikiwand page for สมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี.

สมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี

สมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี
พระเจ้าเสือ
พระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี
พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา
ครองราชย์6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2246[1] – 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2251 (5 ปี 3 วัน)
ก่อนหน้าสมเด็จพระเพทราชา
ถัดไปสมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ
พระมหาอุปราช
สมุหนายกเจ้าพระยาจักรี (ครุฑ)
พระราชสมภพพ.ศ. 2204
ตำบลโพธิ์ประทับช้าง เมืองพิจิตร อาณาจักรอยุธยา[2]
สวรรคต9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2251 (47 พรรษา)
กรุงศรีอยุธยา อาณาจักรอยุธยา
พระอัครมเหสีสมเด็จพระพันวษา
สนม
พระราชบุตรสมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
เจ้าฟ้าหญิงไม่ปรากฏพระนาม
เจ้าฟ้าหญิงแก้ว[3]
พระองค์เจ้าทับทิม[4]
ราชวงศ์บ้านพลูหลวง
พระราชบิดาสมเด็จพระเพทราชา
พระราชมารดานางกุสาวดี

สมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี (คำให้การชาวกรุงเก่า) หลวงสรศักดิ์ มีพระนามเดิมว่า เดื่อ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระบรมราชวินิจฉัยพระนามว่าเป็นสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8[5] เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 29 แห่งอาณาจักรอยุธยา และเป็นพระองค์ที่สองแห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ราชวงศ์สุดท้ายของอาณาจักรอยุธยา ทรงครองราชย์ พ.ศ. 2246 — พ.ศ. 2251

ประชาชนในสมัยพระองค์มักเรียกขานพระองค์ว่า พระเจ้าเสือ เพื่อเปรียบว่าพระองค์มีพระอุปนิสัยโหดร้ายดังเสือ[6] พระองค์ทรงมีพระปรีชาด้านมวยไทย โดยทรงเป็นผู้คิดท่าแม่ไม้มวยไทย ซึ่งมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ปรากฏชัดเจน และได้มีการถ่ายทอดเป็นตำราให้ชาวไทยรุ่นหลังได้เรียนรู้ฝึกฝนจนถึงปัจจุบันได้

สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้ระบุในหนังสือ ศิลปะมวยไทย ถึงพระองค์ในการปลอมพระองค์เป็นชาวบ้านมาชกมวยกับนักมวยฝีมือดีจากเมืองวิเศษชัยชาญ และสามารถชนะนักมวยเอกได้ถึง 3 คน ซึ่งได้แก่ นายกลาง หมัดตาย, นายใหญ่ หมัดเหล็ก และนายเล็ก หมัดหนัก[7] ปัจจุบัน กระทรวงวัฒนธรรม ได้กำหนดให้วันที่ 6 กุมภาพันธ์ ซึ่งตรงกับวันที่พระองค์ได้ขึ้นครองราชย์ตามหลักฐานในประวัติศาสตร์เป็นวันมวยไทย[1]

นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงฝึกเจ้าฟ้าเพชรและเจ้าฟ้าพรผู้เป็นพระราชโอรส ให้มีความสามารถในด้านมวยไทย, กระบี่กระบอง และมวยปล้ำ[8]

พระราชประวัติ

[แก้]

พระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ระบุว่าพระเจ้าเสือเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอในสมเด็จพระเพทราชา[9]

ส่วนพระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ฉบับตัวเขียน ระบุว่าเป็นพระราชโอรสลับในสมเด็จพระนารายณ์มหาราชกับพระสนมซึ่งเป็นพระราชธิดาในพระยาแสนหลวง เจ้าเมืองเชียงใหม่[10] โดยคำให้การขุนหลวงหาวัดออกพระนามว่า พระราชชายาเทวี หรือ เจ้าจอมสมบุญ ส่วนในคำให้การชาวกรุงเก่าเรียกว่า นางกุสาวดี[11] ต่อมาสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้พระราชทานพระสนมดังกล่าวให้แก่พระเพทราชา เมื่อครั้งที่ดำรงตำแหน่ง (เจ้ากรมช้าง) โดยในคำให้การขุนหลวงหาวัดและคำให้การชาวกรุงเก่า มีเนื้อหาสอดคล้องกัน กล่าวคือนางเป็นสนมลับของพระนารายณ์แต่แตกต่างกันเพียงชื่อของนาง และเหตุผลในการพระราชทานพระโอรสแก่พระเพทราชา คำให้การชาวกรุงเก่าระบุว่านางกุสาวดีได้เป็นสนมในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ต่อมาทรงพระสุบินว่าเทวดามาบอกว่านางกุสาวดีกำลังตั้งครรภ์พระราชโอรสที่มีบุญมาก แต่พระองค์ได้ปฏิญาณไว้แล้วว่าจะไม่เลี้ยงลูกสนมเนื่องจากเกรงจะก่อกบฏเหมือนพระศรีสิงห์ ทรงนิมนต์พระอาจารย์พรหมมาปรึกษาในพระราชวัง พระอาจารย์พรหมแนะนำว่าควรชุบเลี้ยงไว้เผื่อภายหน้าจะได้สืบราชตระกูล จึงรับสั่งให้เจ้าพระยาสุรสีห์เอานางกุสาวดีไปเลี้ยงเป็นภรรยา ถ้าได้ลูกชายให้ถือเป็นลูกของตน ถ้าได้ลูกสาวให้ถวายพระองค์ เจ้าพระยาสุรสีห์ปฏิบัติตามรับสั่ง จนทราบว่านางกุสาวดีคลอดลูกชายก็พระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภคเป็นอันมากแก่กุมารนั้น ภายหลังยังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยาศรีสรศักดิ์[12]

โดยเหตุผลของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ปรากฏในคำให้การชาวกรุงเก่าว่า พระองค์ทรงเกรงว่าพระราชโอรสองค์นี้จะคิดกบฏชิงราชสมบัติอย่างเมื่อคราวพระศรีศิลป์ ส่วนคำให้การของขุนหลวงหาวัดว่า พระองค์ทรงต้องรักษาราชบัลลังก์ให้กับพระราชโอรสที่ประสูติแต่พระอัครมเหสีเท่านั้น[11]

พระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ ระบุว่าพระนามเดิมของพระองค์คือ มะเดื่อ[13][14] ส่วนในหนังสือปฐมวงศ์ของ ก.ศ.ร. กุหลาบ เรียกว่า ดอกเดื่อ[15] เนื่องจากประสูติใต้ต้นมะเดื่อในแขวงเมืองพิจิตร ขณะพระมารดาเสด็จติดตามออกพระเพทราชาโดยเสด็จสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 3 (สมเด็จพระนารายณ์) เสด็จขึ้นไปนมัสการพระพุทธชินราชและพระพุทธชินสีห์ที่เมืองพิษณุโลก

จดหมายเหตุเอ็งเงิลแบร์ท เค็มพ์เฟอร์ (Engelbert Kaempfer) นายแพทย์ชาวเยอรมันประจำคณะทูตของบริษัทอีสต์อินเดียของฮอลันดาที่เข้ามาเจริญพระราชไมตรีราชสำนักสยามในปี พ.ศ. 2233 ได้ให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับปีประสูติของออกหลวงสรศักดิ์ว่า เมื่อ พ.ศ. 2233 พระสรศักดิ์ (Peja Surusak) พระมหาอุปราชมีพระชนม์ 20 พรรษา[16] แสดงว่าพระองค์ประสูติในปี พ.ศ. 2213[11]

ทัศนะ

[แก้]
วัดโพธิ์ประทับช้างจังหวัดพิจิตร สร้างโดยสมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี คาดว่าเป็นบ้านเกิด

อย่างไรก็ตาม สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ มิทรงเชื่อว่าหลวงสรศักดิ์จะเป็นพระราชโอรสลับในสมเด็จพระนารายณ์ ทรงวินิจฉัยว่าในเมื่อหลวงสรศักดิ์รู้อยู่เต็มอกว่าสมเด็จพระนารายณ์คือพระราชบิดา เหตุไฉนจึงร่วมมือกับพระเพทราชาบิดาบุญธรรมปราบดาภิเษกชนกแท้ ๆ ของตน แทนที่จะประจบเอาใจขอราชสมบัติกับพระราชบิดาเมื่อครั้งยังประชวร ส่วนเพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์ ว่า "พระยาแสนหลวง" เจ้าผู้ครองเชียงใหม่ที่ตกเป็นเชลยมายังกรุงศรีอยุธยานั้นก็มิได้มีฐานะต่ำต้อยอันใด ซ้ำยังจะดูมีหน้ามีตาเพราะสามารถต่อโคลงกับศรีปราชญ์ กวีในรัชกาลได้ ถ้าหากพระยาแสนหลวงเป็นพระสัสสุระของสมเด็จพระนารายณ์จริง ก็น่าจะเป็นที่ความภาคภูมิมากกว่าอับอาย และยังสามารถใช้การเสกสมรสดังกล่าวเป็นเหตุผลทางการเมืองเข้าครอบครองล้านนาผ่านพระชายาได้[17]

ครองราชย์

[แก้]

ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ สมเด็จพระเจ้าเสือได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กรับราชการเป็นที่ โปรดปรานของสมเด็จพระนารายณ์ฯ ครั้งนั้นสมเด็จพระเจ้าเสือ (นายเดื่อมหาดเล็ก) สามารถบังคับช้างพลายซ่อมตัวหนึ่งกำลังตกมันได้สำเร็จ[18][19] ช้างพลายซ่อม (หรือพลายส่อม) เป็นช้างเพชฌฆาตสำหรับฆ่าคนโทษถึงตายร้ายกาจยิ่งนัก แม้ครูช้างผู้ใดขับขี่ช้างเข้มแข็งก็มิอาจขี่ช้างตัวนี้ลงน้ำได้ มีเพียงนายเดื่อมหาดเล็กสามารถนำช้างพลายซ่อมไปลงน้ำแล้วพากลับขึ้นมาผูกไว้ ณ โรงที่เดิม กรมช้างก็เอาเหตุมากราบทูลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชให้ทรงทราบ ทรงปรีดีโสมนัสเห็นว่ามีความสามารถในการบังคับบัญชาช้างถือเป็นวิชาที่สำคัญต่อความเป็นทหารและความเป็นผู้นำ[20] จึงมีดำรัสให้นายเดื่อมหาดเล็กเข้าเฝ้า มีพระราชโองการตรัสว่า "ตัวเอ็งขี่ช้างแกล้วกล้าเข้มแข็งนัก, เอ็งจงเป็นหลวงสรสักดิ์, ไปช่วยราชการบิดาแห่งเอ็งในกรมช้างเถิด"[21] จึงโปรดให้เป็นหลวงสรศักดิ์ รับราชการในกรมพระคชบาล

ในสมัยสมเด็จพระเพทราชาได้รับสถาปนาเป็นพระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคลซึ่งหวังจะได้ขึ้นครองราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระเพทราชา แต่สมเด็จพระเพทราชากลับทรงโปรดปรานเจ้าพระขวัญ พระราชโอรสของพระองค์และกรมหลวงโยธาทิพ (บางหลักฐานว่ากรมหลวงโยธาเทพ) แถมมีผู้คนมากมายต่างพากันนับถือ ทำให้กรมพระราชวังบวรฯ เกิดความหวาดระแวงว่าราชสมบัติจะตกไปอยู่กับเจ้าพระขวัญ จึงเกิดเหตุการณ์นำเจ้าพระขวัญมาสำเร็จโทษด้วยไม้ท่อนจันทร์

เมื่อสมเด็จพระเพทราชาซึ่งทรงประชวรทรงทราบทรงพระพิโรธกรมพระราชวังบวรฯ เป็นอันมากแลตรัสว่าจะไม่ยกราชสมบัติให้แก่กรมพระราชวังบวรฯ แล้วทรงพระกรุณาตรัสเวนราชสมบัติให้ "เจ้าพระพิไชยสุรินทร" พระราชนัดดา หลังจากนั้นสมเด็จพระเพทราชาสวรรคต เจ้าพระพิไชยสุรินทรทรงเกรงกลัวกรมพระราชวังบวรฯ จึงไม่กล้ารับ และน้อมถวายราชสมบัติแด่กรมพระราชวังบวรฯ

เมื่อกรมพระราชวังบวรฯ ได้ขึ้นครองราชสมบัติในปี พ.ศ. 2246 มีพระราชโอรส 2 พระองค์ คือ เจ้าฟ้าเพชร (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ) และเจ้าฟ้าพร (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ) มีพระสมัญญานามว่า “เสือ”[2] ตั้งแต่สมัยที่ยังดำรงตำแหน่งเป็น หลวงสรศักดิ์ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมาแล้ว[22]

ทรงมีความเด็ดขาดในการมีรับสั่งให้ผู้ที่ปฏิบัติงานใดต้องสำเร็จผลเป็นอย่างดี หากบกพร่องพระองค์จะมีรับสั่งให้ลงโทษ ไม่เฉพาะข้าราชบริพารเท่านั้น แม้พระราชโอรสทั้งสองก็เช่นกัน อย่างเช่น ในการเสด็จไปคล้องช้างที่เมืองนครสวรรค์ มีรับสั่งให้เจ้าฟ้าเพชรและเจ้าฟ้าพรตัดถนนข้าม"บึงหูกวาง" โดยถมบึงส่วนหนึ่งให้เสร็จภายในหนึ่งคืน พระราชโอรสดำเนินงานเสร็จตามกำหนด แต่เมื่อเสด็จพระราชดำเนิน ช้างทรงตกหลุม ทรงลงพระราชอาญาเจ้าฟ้าเพชร แต่ภายหลังก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษ[22]

พระอุปนิสัย

[แก้]

พระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ระบุว่า[6]

"สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพอพระทัยเสวยน้ำจัณฑ์ แล้วเสพสังวาสด้วยดรุณีอิตถีสตรีเด็กอายุ 11-12 ปี ถ้าสตรีใดเสือกดิ้นโครงไป ให้ขัดเคือง จะลงพระราชอาชญาถองยอดอกตายกับที่ ถ้าสตรีใด ไม่ดิ้นเสือกโครงนิ่งอยู่ ชอบพระอัชฌาสัย พระราชทานบำเหน็จรางวัล

"ประการหนึ่ง ถ้าเสด็จไปประพาสมัจฉาชาติฉนากฉลามในชลมารคทางทะเลเกาะสีชังเขาสามมุขแลประเทศที่ใด ย่อมเสวยน้ำจัณฑ์พลาง ถ้าหมู่พระสนมนิกรนางในแลมหาดเล็ก ชาวที่ทำให้เรือพระที่นั่งโคลงไหวไป มิได้มีพระวิจารณะ ปราศจากพระกรุณาญาณ ลุอำนาจแก่พระโทโส ดำรัสสั่งให้เอาผู้นั้นเกี่ยวเบ็ดทิ้งลงไปกลางทะเล ให้ปลาฉนากฉลามกินเป็นอาหาร

"ประการหนึ่ง ปราศจากพระเบญจางคิกศีล มักพอพระทัยทำอนาจารเสพสังวาสกับภรรยาขุนนาง แต่นั้นมาพระนามปรากฏเรียกว่า พระเจ้าเสือ"

ขณะที่พระราชพงศาวดารกรุงสยาม จากต้นฉบับของบริติชมิวเซียมบันทึกไว้ทำนองเดียวกันว่า

"ครั้งนั้น สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินมีพระราชหฤทัยกักขฬะ หยาบช้า ทารุณ ร้ายกาจ ปราศจากกุศลสุจริต ทรงพระประพฤติผิดพระราชประเพณี มิได้มีหิริโอตัปปะ และพระทัยหนาไปด้วยอกุศลลามก มีวิตกในโทสโมหมูลเจือไปในพระสันดานเป็นนิรันดร์มิได้ขาด แลพระองค์เสวยน้ำจัณฑ์ขาวอยู่เป็นนิจ แล้วมักยินดีในการอันสังวาสด้วยนางกุมารีอันยังมิได้มีระดู ถ้าและนางใดอุตส่าห์อดทนได้ ก็พระราชทานรางวัลเงินทองผ้าแพรพรรณต่าง ๆ แก่นางนั้นเป็นอันมาก ถ้านางใดอดทนมิได้ไซร้ ทรงพระพิโรธ และทรงประหารลงที่ประฉิมุราประเทศ [ผ่าอก][23] ให้ถึงแก่ความตาย แล้วให้เอาโลงเข้ามาใส่ศพนางนั้นออกไปทางประตูพระราชวังข้างท้ายสนมนั้นเนือง ๆ และประตูนั้นก็เรียกว่า ประตูผีออก มีมาตราบเท่าทุกวันนี้

"อยู่มาครั้งหนึ่ง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จด้วยพระชลพาหนะออกไปประพาส ณ เมืองเพชรบุรี และเสด็จไปประทับแรมอยู่ ณ พระราชนิเวศน์ตำบลโตนดหลวง ใกล้ฝั่งพระมหาสมุทร และที่พระตำหนักนี้เป็นที่พระตำหนักเคยประพาสมหาสมุทรมาแต่ก่อนครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรบรมราชาธิราชบพิตรเป็นเจ้านั้น และสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินก็เสด็จด้วยพระที่นั่งมหานาวาท้ายรถ แล่นไปประพาสในท้องพระมหาสมุทรตราบเท่าถึงตำบลเขาสามร้อยยอด และทรงเบ็ดตกปลาฉลามและปลาอื่นเป็นอันมาก แล้วเสด็จกลับมา ณ ตำหนักโตนดหลวง และเสด็จเที่ยวประพาสอยู่ดังนั้นประมาณ 15 เวร จึ่งเสด็จกลับยังกรุงเทพมหานคร"

พระราชกรณียกิจ

[แก้]

ด้านศาสนา

[แก้]
  1. ทรงปฏิสังขรณ์มณฑปสวมรอยพระพุทธบาทสระบุรี สร้างมาแต่ครั้งสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ซึ่งทำเป็นยอดเดียวชำรุด โปรดฯ ให้สร้างใหม่เป็น 5 ยอด รวมทั้งปฏิสังขรณ์ทั่วทั้งอาราม
  2. ปี พ.ศ. 2249 เกิดอัสนีบาตต้องยอดมณฑปพระมงคลบพิตร เครื่องบนมณฑป ทรุดโทรมพังลงมาต้องพระศอพระมงคลบพิตรหัก โปรดฯ ให้รื้อเครื่องบนออก ก่อสร้างใหม่แปลงเป็นมหาวิหาร
  3. เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่เสด็จพระราชดำเนินไปนมัสการพระพุทธฉายและสันนิษฐานว่าค้นพบในสมัยพระองค์
  4. พระราชกรณียกิจที่สำคัญอันเกี่ยวเนื่องเมืองพิจิตร เพื่อเป็นการรำลึกถึงชาติภูมิของพระองค์สมเด็จพระเจ้าเสือได้โปรดให้สร้างวัดโพธิ์ประทับช้างขึ้นที่เมืองพิจิตร โดยสร้างพระอุโบสถ พระวิหาร พระมหาเจดีย์ ศาลาการเปรียญ และกุฏิสงฆ์ มีอาณาบริเวณวัดกว้างขวางใหญ่โต ใช้เวลาสร้าง 2 ปี จึงสำเร็จ เสด็จพระราชดำเนินมาทำการฉลองด้วยพระองค์เอง มีการฉลอง สามวันสามคืน มีมหรสพครึกครื้น และมีผู้คนมากมายมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทและ ดูมหรสพ ฉลองเสร็จแล้วทรงพระราชอุทิศถวายเลขข้าพระไว้สำหรับอุปฐากพระอารามถึง 200 ครัวเรือน นับว่าครั้งนั้นวัดโพธิ์ประทับช้างเป็นวัดที่เด่นที่สุดในเมืองพิจิตร

สมเด็จพระเจ้าเสือทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา โปรดฯ ให้สมเด็จเจ้าแตงโมเป็นพระอาจารย์สอนวิชาความรู้แก่พระราชโอรสและพระราชนัดดา

พระองค์มีพระราชโอรสด้วยพระมเหษีใหญ่ ๓ องค์ องค์ที่ ๑ พระนาม สุรินทกุมาร องค์ที่ ๒ พระนามวรราชกุมาร ​องค์ที่ ๓ พระนามว่า อนุชากุมาร ๆ นี้กล้าหาญดุร้ายมาก วัน ๑ รับสั่งให้พวกมหาดเล็กเด็ก ๆ ด้วยกันว่ายข้ามแม่น้ำ พวกมหาดเล็กเกรงอาญาก็พากันว่ายไป ที่มีกำลังน้อยจมตายบ้างก็มี กิติศัพท์ทราบถึงพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี ๆ ทรงพระพิโรธ รับสั่งให้เอาอนุชากุมารไปสำเร็จโทษเสียดังเด็กที่จมน้ำตายนั้นซึ่งคดเคี้ยวให้ตรงและขุดลัดคลองอ้อมเกร็ด[2]

  1. ทรงให้มีการปรับปรุงเส้นทางทางไปพระพุทธบาทสระบุรี ให้เดินทางมาสะดวกยิ่งขึ้น

วรรณกรรมในรัชกาล

[แก้]
  • โคลงกำสรวล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงประทานตรัสอธิบายว่าแต่งในสมัยพระเจ้าเสือ[24] โดยกวีผู้มีราชทินนามว่าศรีปราชญ์เป็นผู้แต่ง แต่มิใช่ศรีปราชญ์บุคคลที่เป็นบุตรของพระโหราธิบดี[25]
  • เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ชี้ว่าสมเด็จพระเจ้าเสือทรงนิพนธ์ครั้งยังเป็นออกหลวงสรศักดิ์[26][27] ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ เช่น นิธิ เอียวศรีวงศ์ ชี้ว่าร่องรอยในเพลงยาวเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาไม่มีทางที่พระมหากษัตริย์พระองด์ใดของอยุธยาจะทรงทำนายความวิบัติของแผ่นดินพระองค์เอง เชื่อว่าเพลงยาวนี้อาจใช้เพื่อปลุกระดมไพร่พลของอยุธยา[28] ส่วนคำให้การของขุนหลวงหาวัด และคำให้การของชาวกรุงเก่า กล่าวว่า เพลงยาวพยากรณ์เป็นคำพยากรณ์ของพระเจ้าเสือ[29] แต่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าเป็นพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ปรากฏความท้ายบทเพลงยาวว่า "พระนารายณ์เป็นเจ้าลพบุรีทำนายกรุง"[30] เนื้อหาเพลงยาวเป็นคำทำนายชะตาบ้านเมือง[31] ถูกเปิดเผยไว้ตามกำแพงวัดและหมู่บ้านในกรุงศรีอยุธยาคล้ายกับใบปลิว[32] คำทำนายถูกแปลไว้ว่า[33]

"ลุแผ่นดินที่ ๓๖ แห่งกรุงศรีอยุทธยา จักเกิดกลียุคครั้งใหญ่ คนชั่วจักนั่งเมือง คนดีจักหายน่าเข้ากล้าจักล้มตาย ทั่วปถพีจักประสพความยากแค้นแสนเขญ โจรผู้ร้ายออกเข่นฆ่าปล้นชิงอาณาประชาราษฎร์ ที่สุดจักเกินมหาสงครามล้างบ้านผลาญเมืองจนพินาศวอดวาย โดยมีเหตุมาแต่หนอนบ่อนไส้ผู้เหนแก่อามิสชักนำศึกเข้าบ้าน แผ่นดินอยุทธยาจักเสียแก่อังวะ จนฉิบหายล่มจมอย่างมิอาจฟื้นฟูกลับคืนมาได้อีก"

สวรรคต

[แก้]

ทรงพระประชวร

[แก้]

สาเหตุที่ทรงพระประชวรแม้ในพงศาวดารไม่ได้มีกล่าวไว้ แต่พอสันนิษฐานได้ดังนี้

มูลเหตุที่ 1

พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับพระจักรพรรดิพงษ์ (จาด) กล่าวว่า :-

ศักราช ๑๐๗๗ ปีมะแม สัปตศก เสด็จขึ้นไปฉลองพระพุทธบาท ๗ เวนทรงพระประชวร เสด็จทรงพระที่นั่งสุวรรณราเชนทร์เสด็จลงมาถึงกรุง ขึ้นพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาศน์ได้ ๗ เวนประชวรหนักลง แปลงสถานลงมาพระที่นั่งสุริยาอมรินทร์เพลาเช้า...[34]: 226 

พื้นที่พระพุทธบาทเมืองลพบุรีในสมัยอยุธยาเป็นพื้นที่ป่ารกชัฏขนาดใหญ่ เดิมเรียกว่า ดงพญาไฟ (เปลี่ยนชื่อเป็น ดงพญาเย็น ในสมัยรัชกาลที่ ๔ เนื่องจากทรงพระราชดำริว่าชื่อไม่เป็นมงคล) เต็มไปด้วยอันตรายจากสิงสาราสัตว์ และไข้ป่ามาลาเรีย[35]: 122, 137:เชิงอรรถ ๑๔  การเสด็จประพาสของพระเจ้าเสือครั้งนั้นอาจติดเชื้อไข้ป่าเป็นเหตุให้ทรงพระประชวรลง

มูลเหตุที่ 2

เกิดจากพระอุปนิสัยของพระเจ้าเสือนั้นทรงโปรดการเสด็จประพาสล้อมช้างเถื่อนในป่า[36]: 221  การประพาสล้อมช้างเถื่อนครั้งล่าสุด พระเจ้าเสือเสด็จประพาสล้อมช้างในป่าเมืองนครสวรรค์[36]: 221  เป็นฤดูฝนตกชุกมีอันตรายด้วยไข้ป่ามาก ทรงตั้งพลับพลาประทับแรมอยู่นานจนล้อมจับช้างเถื่อนได้ 100 เชือกเศษแล้วเสด็จกลับพระนคร พระองค์อาจได้รับเชื้อมา เมื่อพระสังขารและพระวรกายอ่อนแอเพราะทรงพอพระทัยเสวยน้ำจัณฑ์เป็นนิจ เปิดโอกาสให้เชื้อกำเริบ ในที่สุดพระองค์ก็ทรงพระประชวรลง แพทย์หลวงจึงได้วินิจฉัยพระโรคของพระเจ้าเสือว่า เนื่องจากพระองค์ได้ทรงตรากตรำทรงช้างทรงม้าพระที่นั่งประพาสป่าล้อมช้างเถื่อนอยู่เนือง ๆ อาจจะติดเชื้อไข้ป่า พระสังขารและพระพลังมีต้านทานไม่พอ ก็ต้องทรงพระประชวรลง[36]: 221 

พระเจ้าเสืออยู่ในราชสมบัติเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2246 – 2251 เป็นเวลา 5 ปี สวรรคตเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ปี พ.ศ. 2251 พระชนมายุ 47 พรรษา[1]

การพระบรมศพ

[แก้]

เมื่อ พ.ศ. 2251 (นับปีแบบปัจจุบัน) สมเด็จพระที่นั่งท้ายสระเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ภายหลังได้สำเร็จโทษพระองค์เจ้าดำแล้ว พระองค์มีพระราชดำริจัดการพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี เมื่อวันพฤหัสบดี ศักราช 1069 ปีกุนนพศก (พ.ศ. 2250)[37]: 293:เชิงอรรถที่ ๕  มีรับสั่งให้ช่างพนักงานจัดการพระเมรุมาศขนาดใหญ่ ขื่อ 7 วอ 2 ศอก สูง 2 เส้น 11 วาศอกคืบ (สูง 102.75 เมตร หรือเท่าอาคารสูง 27 ชั้น)[38]: 155:เชิงอรรถที่ ๘, ๙  ใช้เวลา 11 เดือนจึงเสร็จ แล้วให้เชิญพระบรมโกศขึ้นประดิษฐานเหนือพระมหาพิไชยราชรถจึงแห่ขบวนเสด็จโดยรัถยาราชวัติเข้าสู่พระเมรุมาศตามราชประเพณี ให้ทิ้งทานต้นกัลปพฤกษ์ มีงานมหรสพและดอกไม้เพลิงต่างๆ โปรดให้มีพระสงฆ์สดัปกรณ์ 10,000 รูป คำรพ 7 วันแล้วจึงถวายพระเพลิง เมื่อดับพระเพลิงแล้วโปรดให้พระสงฆ์สดัปกรณ์ 400 รูป แล้วนำพระอัฐิใส่พระโกศน้อยขึ้นพระราชยานแห่ขบวนมายังพระราชวังแล้วอัญเชิญพระโกศบรรจุท้ายจระนำพระมหาวิหาร ณ วัดพระศรีสรรเพชญ์

พระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ฉบับตัวเขียน กล่าวว่า :-

ลุศักราช ๑๐๖๙ ปีกุน นพศก สมเดจ์พระเจ้าแผ่นดินมีพระราชดำหรัสสั่งให้ช่างพนักงานจับการทำพระเมรุมาศขนาดใหญ่ ขื่อเจ็ดวาสองศอก สูงสองเส้นสิบเบจ์วาศอกคืบ แลการพระเมรุทังปวงนั้น ๑๑ เดือนจึ่งสำเหรจ์ ครั้นถึงผคุณมาศ ศุกรปักขดิฐี ณ วันอันได้มหาพิไชยฤกษ จึ่งพระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทังสองพระองค์ ก็ให้อัฐเชีญพระบรมโกฎิขึ้นประดิษฐาน เหนือพระมหาพิไชยราชรถแล้วแห่เปนขบวนไปโดยรัฐ์ยาราชวัถ เข้าสู่พระเมรุมาสตามหย่างแต่ก่อน แล้วให้ทิ้งทานต้นกามพฤกษ แลมีงานมหรรศภแลดอกไม้เพลีงต่างๆ แลทรงสดัลพระกรณพระสงฆ ๑๐๐๐๐ คำรพเจ็ดวัน แล้วถวายพระเพลีง ครั้นดับพระเพลีงแล้วแจงพระรูป ทรงสลดับพระกรณพระสงฆอีก ๔๐๐ รูป แล้วเก็บพระอัษฐิใส่พระโกฎิน้อยอัญเชีญขึ้นพระราชยาน แห่เป็นขบวนเข้ามายังพระราชวัง จึ่งให้อัญเชีญพระบรมโกฎพระอัษฐิเข้าบันจุะไว้ ณะ ท้ายจรนำพระมหาวิหาร วัดพระศรีสรรเพชญดาราม ๚ะ๛[37]: 293 

พระบรมราชานุสรณ์

[แก้]

สถานที่อันเนื่องด้วยพระนาม

[แก้]

ในวัฒนธรรมสมัยนิยม

[แก้]

มีการนำพระราชประวัติของพระเจ้าเสือมาสร้างเป็นสื่อเพื่อความบันเทิงหลายครั้ง อาทิ

ภาพยนตร์

[แก้]

ละครโทรทัศน์

[แก้]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้

พงศาวลี

[แก้]

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
เชิงอรรถ
  1. 1.0 1.1 1.2 "6 กุมภาพันธ์ "วันมวยไทย" เทิดไท้ "พระเจ้าเสือ"". พีพีทีวี. 5 Feb 2016. สืบค้นเมื่อ 9 Sep 2016.((cite news)): CS1 maint: url-status (ลิงก์)[ลิงก์เสีย]
  2. 2.0 2.1 2.2 "ถิ่นประสูติพระเจ้าเสือ - จังหวัดพิจิตร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-05-23. สืบค้นเมื่อ 2016-05-23.
  3. ราชอาณาจักรสยาม[ลิงก์เสีย]
  4. สุจิตต์ วงษ์เทศ. กรุงเทพฯ มาจากไหน?. กรุงเทพฯ:มติชน, 2548, หน้า 70
  5. ทรงวิจารณ์เรื่องพระราชพงศาวดารกับเรื่องประเพณีการตั้งพระมหาอุปราช, หน้า 42-59
  6. 6.0 6.1 พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ, หน้า 328
  7. "ประวัติความเป็นมาของมวยไทย - สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-08-21. สืบค้นเมื่อ 2016-04-04.
  8. "ประวัติมวยไทย". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-04-04. สืบค้นเมื่อ 2016-04-04.
  9. พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และเอกสารอื่น หน้า 318, 333
  10. พระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ตรวจสอบชำระจากเอกสารตัวเขียน, หน้า 239-240
  11. 11.0 11.1 11.2 สุทธิศักดิ์ ระบอบ สุขสุวานนท์. "พงศาวดารกระซิบเรื่องโอรสลับพระนารายณ์". ในศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 30 ฉบับที่ 11 กันยายน 2552 กรุงเทพ:สำนักพิมพ์มติชน,2552. หน้า 109
  12. พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และเอกสารอื่น, หน้า 528
  13. พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุทธยา และพงศาวดารเหนือ. เล่ม 2. กรุงเทพฯ:องค์การค้าของคุรุสภา, 2504. หน้า 91-94
  14. พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุทธยา และพงศาวดารเหนือ. เล่ม 2. กรุงเทพฯ:องค์การค้าของคุรุสภา, 2504. หน้า 183
  15. ปฐมวงศ์ ฉบับของ ก.ศ.ร. กุหลาบ, ในอภินิหารบรรพบุรุษและปฐมวงศ์. สุจิตต์ วงษ์เทศ บรรณาธิการ. กรุงเทพฯ:มิตชน, 2545, หน้า 68
  16. เอนเยลเบิร์ต แกมป์เฟอร์ เขียน, อัมพร สายสุวรรณ แปล. ไทยในจดหมายเหตุแกมป์เฟอร์. กรุงเทพฯ:กรมศิลปากร, 2545, หน้า 64
  17. เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์. (17 กุมภาพันธ์ 2555). "พระปีย์ vs พระเจ้าเสือ ใครคือโอรสลับของพระนารายณ์?". มติชนสุดสัปดาห์. 32:1644, หน้า 76
  18. วิบูล วิจิตรวาทการ. เรื่องสนุกในแผ่นดินพระเพทราชาและพระเจ้าเสือ: ต้นราชวงศ์บ้านพลูหลวง. กรุงเทพฯ : หมึกจีน, 2538. 166 หน้า. หน้า 8-9.
  19. ศิรินันท์ บุญศิริ. เมืองพิจิตร. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : อมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊ฟ, 2533. 78 หน้า. หน้า 38.
  20. เพลิง ภูผา. วิกฤตการณ์วังหน้า เหตุทุรยศบนแผ่นดินสยาม. กรุงเทพฯ : ไพลินบุ๊คเน็ต, 2544. 320 หน้า. หน้า 161. ISBN 978-616-4413-24-5
  21. พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับความสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส เล่มที่ ๒. พระนคร : โรงพิมพ์พระจันทร์, 2485. หน้า 363.
  22. 22.0 22.1 จุลลดา ภักดีภูมินทร์. พระบัณฑูรใหญ่ พระบัณฑูรน้อย เก็บถาวร 2003-07-22 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. สกุลไทย ฉบับที่ ...2...ท 47 ประจำวันอังคารที่ 26 มิถุนายน 2544
  23. พนิดา สงวนเสรีวานิช. (2542). "เซ็กซ์ในสยาม", ศิลปวัฒนธรรม, 20(4): 85. (กุมภาพันธ์ 2542). ISSN 0125-3654
  24. พ.ณ. ประมวลมารค (หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุ รัชนี). กำสรวลศรีปราชญ์-นิราศนรินทร์. พระนคร : แพร่พิทยา, 2511. 415 หน้า. หน้า 102
  25. สายวรุณ น้อยนิมิตร. นวทัศน์แห่งวรรณกรรมไทย. กรุงเทพฯ : ชย อิมเปคอินเตอร์เนชั่นแนล, 2541. 155 หน้า. หน้า 86.
  26. นิธิ เอียวศรีวงศ์. (ต่าง) คิดในคอก (ตน) :ว่าด้วยวัฒนธรรมและวิธีคิด. กรุงเทพฯ : มติชน, 2546. 175 หน้า. หน้า 27. 978-974-3228-74-2
  27. กำพล จำปาพันธ์. มนุษย์อยุธยา ประวัติศาสตร์สังคม จากข้าวปลา หยูกยา ตำรา Sex. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : มติชน, 2563. 336 หน้า. หน้า 165. ISBN 978-974-0217-17-6
  28. โบชอง, พันตรี (แต่ง), ปรีดี พิศภูมิวิถี (แปล). หอกข้างแคร่ : บันทึกการปฏิวัติในสยาม และความหายนะของฟอลคอน. กรุงเทพฯ : มติชน, 2556. 100 หน้า. หน้า 15. ISBN 978-974-0211-11-2
  29. สนิท ตั้งทวี. วรรณคดีและวรรณกรรมไทยเบื้องต้น. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์, 2528. 447 หน้า. หน้า 62. ISBN 974-275-362-6
  30. เกริกฤทธี ไทคูนธนภพ. เล่าเรื่องกรุงศรีฯ ลำดับความตามพระราชพงศาวดาร. กรุงเทพฯ : บางกอกบุ๊ค, 2553. 224 หน้า. หน้า 220. ISBN 978-616-7110-03-5
  31. นิธิ เอียวศรีวงศ์. การเมืองไทยสมัยพระนารายณ์. (พิมพ์ครั้งที่ 8). กรุงเทพฯ : มติชน, 2557. 120 หน้า. หน้า 86. ISBN 978-974-02-1313-0
  32. กองบรรณาธิการ. (2550). ศิลปวัฒนธรรม, 28(7-9):105.
  33. วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง. คนจรดาบ. กรุงเทพฯ : มติชน, 2565. 548 หน้า. หน้า 155-156. ISBN 978-974-02-1771-8
  34. "พระราชพงศาวดารกรุงเก่า", ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๘ (ประชุมพงศาวดารภาค ๗ และภาค ๘). พระนคร: องค์การค้าของคุรุสภา, 2507. 267 หน้า.
  35. กำพล จำปาพันธ์. (2563). "จากลูกหลานหนุมานถึงลูกศิษย์เจ้าพ่อพระกาฬ: ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของลิงในชุมชนเมืองลพบุรี", ศิลปวัฒนธรรม, 41(7). (พฤษภาคม 2563).
  36. 36.0 36.1 36.2 ประยูร พิศนาคะ. (2513). สมเด็จพระเจ้าเสือ. วรรณกรรมทางอากาศ ณ 01 ภาคพิเศษ ออกอากาศ โดย อาคม ทันนิเทศ. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอสมุดกลาง 09. 455 หน้า.
  37. 37.0 37.1 ศานติ ภักดีคำ (บก.) และคณะ. (2558). พระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ตรวจสอบชำระจากเอกสารตัวเขียน. มูลนิธิ "ทุนพระพุทธยอดฟ้า" ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดพิมพ์โดยเสด็จพระราชกุศลในการพระราชทานเพลิงศพ พระธรรมปัญญาบดี (ถาวร ติสฺสานุกโร ป.ธ.๔) ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันอาทิตย์ที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๘. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง. 558 หน้า. ISBN 978-616-92351-0-1
  38. เกรียงไกร เกิดศิริ. (2560). งานพระเมรุ. ศิลปสถาปัตยกรรม, ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมเกี่ยวเนื่อง. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: มติชน. 413 หน้า. ISBN 978-974-0-21576-9 อ้างใน สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา. "พระเมรุมาศ : ตารางเปรียบเทียบความสูงพระเมรุมาศ สมัยสมเด็จพระนเรศวร ถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว", ศิลปวัฒนธรรม 6(6): 64. (เมษายน 2528).
  39. สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง. ข้อมูลทำเนียบท้องที่. ณ วันที่ 1 กันยายน 2565.
บรรณานุกรม


ก่อนหน้า สมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี ถัดไป
สมเด็จพระเพทราชา
(พ.ศ. 2231-2246)

พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา
(พ.ศ. 2246-2251)
สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9
(พ.ศ. 2251-2275)
สมเด็จพระนารายณ์
กรมพระราชวังบวรสถานมงคลแห่งกรุงศรีอยุธยา
(ราชวงศ์บ้านพลูหลวง)

(พ.ศ. 2231-2246)
เจ้าฟ้าเพชร
{{bottomLinkPreText}} {{bottomLinkText}}
สมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี
Listen to this article

This browser is not supported by Wikiwand :(
Wikiwand requires a browser with modern capabilities in order to provide you with the best reading experience.
Please download and use one of the following browsers:

This article was just edited, click to reload
This article has been deleted on Wikipedia (Why?)

Back to homepage

Please click Add in the dialog above
Please click Allow in the top-left corner,
then click Install Now in the dialog
Please click Open in the download dialog,
then click Install
Please click the "Downloads" icon in the Safari toolbar, open the first download in the list,
then click Install
{{::$root.activation.text}}

Install Wikiwand

Install on Chrome Install on Firefox
Don't forget to rate us

Tell your friends about Wikiwand!

Gmail Facebook Twitter Link

Enjoying Wikiwand?

Tell your friends and spread the love:
Share on Gmail Share on Facebook Share on Twitter Share on Buffer

Our magic isn't perfect

You can help our automatic cover photo selection by reporting an unsuitable photo.

This photo is visually disturbing This photo is not a good choice

Thank you for helping!


Your input will affect cover photo selection, along with input from other users.

X

Get ready for Wikiwand 2.0 🎉! the new version arrives on September 1st! Don't want to wait?