For faster navigation, this Iframe is preloading the Wikiwand page for โฮเอลุง.

โฮเอลุง

โฮเอลุง
ภาพวาดแสดงรูปของโฮเอลุง จากภาพประกอบใน ประวัติศาสตร์ลับของชาวมองโกล ฉบับภาษามองโกเลียที่ตีพิมพ์ในปี 1989
พระนามเต็ม
  • อักษรมองโกล: ᠥᠭᠡᠯᠦᠨ Ö’elün Üjin
  • ซีริลลิกมองโกล: Өэлүн
พระสมัญญานาม
จักรพรรดินีซวนยี่ (皇后)
การปริวรรตเป็นอักษรจีน
อักษรจีนตัวเต็ม
อักษรจีนตัวย่อ

โฮเอลุง (อักษรโรมัน: Hö'elün) หรือ โอเอลุง (มองโกเลีย: ᠥᠭᠡᠯᠦᠨ, Ö’elün Üjin, แปลว่า แม่นางโฮเอลุง; ราว 1162–1210) เป็นสตรีชนชั้นสูงชาวมองโกเลีย มารดาของเทมุจิง (หรือที่รู้จักในนามชิงกิสข่าน) เธอมีบทบาทอย่างมากต่อการก้าวเข้าสู่อำนาจของเขา ดังที่ปรากฏบรรยายใน ประวัติศาสตร์ลับของชาวมองโกล

โฮเอลุงเกิดมาในตระกูลอ็อลฮอนด์ของชนเผ่าฮองีรัด แรกเริ่มเธอสมรสกับชิเลโด (Chiledu) ชนชั้นสูงชาวเมร์คิต แต่ไม่นานหลังแต่งงานก็ถูกจับกุมตัวไปโดยเยซุเกย์ สมาชิกคนสำคัญของเผ่ามองโกลซึ่งลักพาตัวเธอไปเพื่อเป็นภรรยาเอก ทั้งคู่มีบุตรสี่คนและธิดาหนึ่งคน ได้แก่ เทมุจิง (Temüjin; หรือที่รู้จักในนาม ชิงกิสข่าน), กาซาร์, ฮาชิอน, เทมุเก และเทมุเล็ง หลังเยซุเกย์เสียชีวิตจากการวางยาพิษ และเผ่ามองโกลทิ้งครอบครัวของเธอจากเผ่า โฮเอลุงต้องเลี้ยงดูลูกทั้งหมดของเธอจนเติบใหญ่ด้วยตนเองภายใต้สถานะยากจน นักประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นถึงความสามารถในการไม่ย่อท้อและทักษะการบริหารจัดการของเธอเป็นพิเศษ เธอยังคงมีบทบาทสำคัญในชีวิตของเทมุจิงหลังแต่งงานกับโบร์เท โฮเอลุงและโบร์เทเป็นสตรีสองคนที่คอยบริหารค่ายของเทมุจิงและให้คำปรึกษาแก่เขา

โฮเอลุงสมรสกับมูงลิก (Münglig) อดีตผู้ติดตามของเยซุเกย์ เพื่อเป็นการตอบแทนความช่วยเหลือที่เขามีให้หลังการพ่ายแพ้ในสงครามเมื่อปี 1187 ในช่วงทศวรรษต่อ ๆ มา โฮเอลุงจัดการแต่งงานแบบคลุมถุงชนและคงสัมพันธไมตรีที่ดีกับฝั่งเยซุเกย์ ในปี 1206 เมื่อเทมุจิงสถาปนาตนเป็นเจงกิส ข่าน เป็นไปได้ว่าโฮเอลุงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจากการได้รับรางวัลน้อยกว่าความพยายามที่เธอได้ทุ่มเทให้เมื่อเทียบกับสามี นอกจากนี้เธอยังมีส่วนในข้อพิพาทระหว่างเจงกิสข่าน พี่น้องของเขา และ บรรดาลูกชายของมูงลิก เธอเสียชีวิตไม่นานหลังจากนั้น เชื่อกันว่าเป็นผลมาจากความเครียดในการประสานข้อขัดแย้งระหว่างคนรอบตัวเธอ กระนั้นไม่ปรากฏว่าเธอเสียชีวิตเมื่อไรอย่างชัดเจน

ชื่อและที่มา

[แก้]

เนื่องจากในปัจจุบันไม่มีระบบการแปลงเป็นอักษรโรมันสำหรับภาษามองโกเลียที่ใช้กันอย่างเป็นสากล ทำให้มีการสะกดชื่อของเธอเป็นอักษรโรมันอยู่หลายรูปแบบที่มีคำออกเสียงต่างกันพอสมควรจากชื่อเดิม[1] ชื่อ โฮเอลุง (Hö'elün) ในภาษาอังกฤษมีการเขียนเป็น โอเอลุง (Ö’elün) และบางครั้งมีการนำหน้าชื่อด้วยคำว่า อูจิง (Üjin) อันแปลว่า "แม่นาง" (Lady)[2]

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับชีวิตของเธอส่วนใหญ่มีที่มาจาก ประวัติศาสตร์ลับของชาวมองโกล มหากาพย์กวีจากกลางศตวรรษที่ 13 ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวการก่อตั้งของจักรวรรดิมองโกล ในมหากาพย์นี้บอกเล่าโฮเอลุงในฐานะผู้ให้คำแนะนำและให้ความมั่นคงแก่ลูกของเธอ และมีเนื้อหาเอนเอียงไปในทางบวก จึงอาจเป็นไปได้ว่าผู้ประพันธ์นิรนามของมหากาพย์เล่มนี้อาจมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับเธอ[3] แม้ว่าลำดับเวลาที่ปรากฏมักจะใหม่สมบูรณ์แบบ และในมหากาพย์ยังเต็มไปด้วยการสอดแทรกองค์ประกอบทางกวีนิพนธ์เข้าไปในบท แต่มหากาพย์กวีนี้ก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งข้อมูลอันทรงคุณค่า เพราะปราศจากการไม่พูดถึงรายละเอียดที่ไม่น่าพูดถึง ต่างจากแหล่งข้อมูลอื่น ๆ เช่น จอมิอ์แอลแทวอรีก ของนักประวัติศาสตร์เปอร์เซียจากยุคศตวรรษที่ 14 แรชีแดลดีน[4]

ชีวประวัติ

[แก้]

ชีวิตช่วงแรกและการแต่งงาน

[แก้]
แผนที่บรรดาชนเผ่ามองโกล ป. 1207 เผ่าอ็อลฮอนด (Olkhonud) อาศัยอยู่ทางฟากตะวันออกไกล ใกล้กับชาวฮีทัน; ชาวมองโกลโบร์จิกิง เช่น เยซุเกย์ อาศัยอยู่ระหว่างอ็อลฮอนดกับเมร์กิต

ตามมหากาพย์ ประวัติศาสตร์ลับ ระบุว่า โฮเอลุงเกิดมาในตระกูลอ็อลฮอนด ในชนเผ่าฮ็องกิรัด ซึ่งอาศัยอยู่ตามเทือกเขาฮิงังใหญ่ ทางใต้ของแม่น้ำอาร์กน บริเวณที่ปัจจุบันคือมองโกเลียใน โดยที่โฮลโอนุดอาศัยอยู่บริเวณใกล้กับต้นธารของแม่น้ำฮัลฮีง[5] โฮเอลุงเทิบโตมาเป็นสตรีโฉมงาม พ่อแม่ของเธอได้ทำการบังคับแต่งงานกับชิเลโด (Chiledu) พี่/น้องชายของหัวหน้าเผ่าเมร์กิต การแต่งงานเป็นไปด้วยดี โดยพิธีแต่งงานจัดขึ้นอย่างเป็นทางการในดินแดนของอ็อลฮอนด ขณะนั้น เธออายุราวสิบห้าปี[6] ขณะทั้งสองกำลังเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดของชิเลโด ทั้งสองถูกซุ่มโจมตี ชาวมองโกล[a] ซึ่งกำลังทำการล่าเหยี่ยวสังเกตเห็นความงดงามและสุขภาพอันดีของโฮเอลุง ซึ่งในพงศาวดาร อัลทันท็อบชิ จากสมัยศตวรรษที่ 17 อ้างว่า พวกมองโกลมีความมั่นใจว่าเธอจะสามารถผลิตลูกหลานให้ได้มาก สังเกตจากสีของพื้นดินที่เธอปัสสาวะใส่ ผู้นำของชาวมองโกลที่ซึ่งเป็นชนชั้นสูง บักฮาโทร์ จากตระกูลบอร์จิกิง นามว่าเยซุเกย์ ตัดสินใจที่จะนำโฮเอลุงไปเป็นภรรยาของเขา[8] เนื่องด้วยสามีของเธอจะต้องพ่ายแพ้ในการสู้รบกับมองโกลและถูกสังหารแน่หากยังคงอยู่กับเธอ โฮเอลุงจึงร้องขอให้เขาหลีกหลีไป และยังให้เสื้อคลุมเธอติดไปด้วย เพื่อให้เขาจดจำกลิ่นของเธอ[9]

การปฏิบัติการลักพาตัวเจ้าสาวไม่ได้เป็นเรื่องแปลกในแถบทุ่งหญ้าสเทปป์ แต่นักประวัติศาสตร์ แอน บรอดบริดจ์ (Anne Broadbridge) ระบุว่าการปฏิบัตินี้ทำให้เกิด "ความอ่อนแอทางสังคมในระยะยาว" ต่อชนเผ่าต่าง ๆ ดังที่สามารถเห็นได้จากเหตุการณ์ในภายหลังของช่วงชีวิตโฮเอลุงเอง[10] แม้ว่าชีเลดูจะไม่มีความพยายามในการตามหาเธอกลับมา แต่เขาก็ได้ทุ่มเทเวลาและเงินทองเพื่อต่อรองขอเธอคืน อาจจะเป็นไปได้ว่าเยซุเกย์เป็นที่รู้จักกันในฐานะผู้นำที่เป็นที่รู้จัก กระนั้น ชาวเมร์กิตก็ยังคงมีความแค้นนี้อยู่ ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นความไม่ลงรอยกันระหว่างสายตระกูลที่กินระยะเวลายาวนาน[11] ส่วนโฮเอลุงเองถูกตัดขาดให้ห่างเหินจากครอบครัวชาวอ็อลฮอนดของเธอ ซึ่งเยซุเกย์เองไม่เคยพบหน้าด้วย และต่อมาในชีวิตของเธอ เธอยังไม่สามารถร้องขอให้ครอบครัวชาวอ็อลฮอนดของเธอช่วยเหลือเธอและลูกที่เธอมีกับเยซุเกย์ในช่วงชีวิตที่ยากลำบากในภายหลัง[12] เรื่องราวการลักพาตัวของโฮเอลุงถูกนำออกไปจากพงศาวดารอย่างเป็นทางการส่วนใหญ่ และปรากฏอยู่แค่ใน ประวัติศาสตร์ลับ เท่านั้น[13] ก่อนหน้านี้ เยซุเกย์ได้แต่งงานกับสตรีอีกคน ซึ่งนักประวัติศาสตร์มักให้ชื่อคือซอชิเกล ทั้งสองมีลูกด้วยกันคือ เบห์เทร์[14] กระนั้น โฮเอลุงกลายมาเป็นภรรยาเอกของเยซุเกย์ ทั้งนี้เหตุผลไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด บรอดบริดจ์ตั้งข้อสงสัยว่าด้วยการเลี้ยงดูของเธอในวัยเด็ก ทำให้เธอเป็นภรรยาที่มีมูลค่าที่สุดสำหรับพี่/น้องชายของหัวหน้าเผ่ามองโกล ทำให้เธอมีตำแหน่งสูงส่งกว่าสตรีชนชั้นต่ำคนหนึ่ง ๆ ในสายตาของเยซุเกย์[15]

ออวูและอนุสรณ์ตรงจุดที่เชื่อว่าคือเดลูงบ็อลด็อก ซึ่งเป็นที่โฮเอลุงให้กำเนิดของเทมุจิง ในจังหวัดเฮนที

โฮเอลุงและเยซุเกย์ให้กำเนิดบุตรคนแรกตรงจุดที่ในมหากาพย์ ประวัติศาสตร์ลับ บันทึกไว้ว่าคือ เดลูงบ็อลด็อก บนแม่น้ำออน็อน พื้นที่นี้ต่อมามีการระบุไว้ว่าเป็นดาดัลในจังหวัดเฮนที หรือตอนใต้ของอากิง-บูร์ยัต อ็อครูก ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศรัสเซีย[16] สำหรับปีที่ให้กำเนิดนั้นก็เป็นประเด็นถกเถียงเช่นเดียวกัน โดยนักประวัติศาสตร์มีความเอนเอียงไปทางปี 1155, 1162 หรือ 1167[17] บุตรคนแรกมีนามว่า เทมุจิง คำที่ซึ่งไม่เป็นที่ทราบถึงความหมายแน่ชัด[18] ในบรรดาตำนานหลากหลายที่เกี่ยวกับการกำเนิดของเทมุจิง เรื่องเล่าที่ปรากฏมากที่สุดบอกว่าตอนเกิดเขาได้กำก้อนเลือดที่แข็งตัวอยู่ในมือ อันตรงกับคติชาวบ้านเอเชียที่ว่า ชายคนนั้นจะเติบใหญ่ไปเป็นนักรบ[19] ในขณะที่บางส่วนบอกเล่าเรื่องราวว่าโฮเอลุงตั้งท้องด้วยรังสีปริศนาซึ่งประกาศถึงเป้าหมายปลายทางชีวิตของบุตรในท้องของเธอ ตำนานนี้เหมือนกันกับของบรรพชนในตำนาน อาลังโกอา[20] เยซุเกย์และโฮเอลุงมีบุตรชายด้วยกันอีกสามคน คือ กาซาร์, ฮาชิอง และ เทมุเก และมีธิดาหนึ่งคน คือ เทมุเล็ง พี่น้องทั้งหมดเติบโตมาในค่ายหลักของเยซุเกย์บนชายฝั่งแม่น้ำออน็อน และเรียนรู้การขี่ม้าและใช้ธนู และยังมีสหายคือเบห์เทร์ (Behter) และน้องชายเบ็ลโกเทย์, บุตรชายทั้งเจ็ดของมูงลิก (Münglig) ผู้ติดตามที่เยซุเกย์ไว้วางใจ และเด็ก ๆ คนอื่นของชนเผ่า[21]

เมื่อเทมุจิงอายุได้แปดปี เยซุเกย์ตัดสินใจหมั้นเขากับเด็กหญิงที่เหมาะสม เยซุเกย์พาเทมุจิงออกไปยังทุ่งหญ้าของชนเผ่าอ็องกิรัตที่เลอค่าของโฮเอลุง และจึงคลุมถุงชนแต่งงานระหว่างเทมุจิงกับโบร์เท ลูกสาวของหัวหน้าเผ่าอ็องกิรัตนามว่า เดย์ เซเช็ง [ru][22] ขณะกำลังขี่ม้ากลับบ้านด้วยตัวคนเดียว เยซุเกย์ได้ร้องขออาหารมื้อหนึ่งจากกลุ่มชาวทาทาร์ที่เขาบังเอิญเจอ ตามลักษณะธรรมเนียมความเอื้อเฟื้อต่อคนแปลกหน้าของชาวทุ่งหญ้าสเตปป์ แต่ชาวทาทาร์จดจำเยซุเกย์ซึ่งเคยต่อสู้กับพวกทาทาร์ในอดีต จึงแอบวางยาพิษในอาหารของเขา เยซุเกย์กินยาพิษเข้าไปจนป่วยแต่ก็ยังกลับถึงบ้านได้ในสภาพใกล้ตาย เขาได้เรียกขอให้มูงลิกไปพาตัวเทมุจิงกลับมาจากอ็องกิรัต ก่อนที่จะเสียชีวิตในเวลาต่อมา[23]

ในฐานะมารดาและที่ปรึกษา

[แก้]

การเสียชีวิตของเยซุเกย์ทำลายความเป็นปึกแผ่นของผู้คนของเขา ซึ่งรวมถึงสมาชิกของตระกูลบอร์จิกิง (Borjigin), ทายิชิอด และตระกูลอื่น ๆ เทมุจิงในเวลานั้นอายุเพียงสิบปี ส่วนเบห์เทร์อายุแก่กว่าสองปี ทั้งคู่ไม่แก่พอที่จะขึ้นมาสืบทอดตำแหน่งปกครองแทนบิดา ฝั่งทายิชิอดได้ตัดเอาโฮเอลุงออกจากพิธีการบูชาบรรพชนซึ่งมีขึ้นหลังการเสียชีวิตของผู้นำ และไม่นานก็ขับไล่เธอออกจากค่าย ในมหากาพย์ ประวัติศาสตร์ลับ บรรยายว่าต่อมาตระกูลบอร์จิกิงก็ทำตาม แม้ว่าโฮเอลุงจะพยายามทำให้พวกเขาอับอายด้วยการเรียกร้องถึงเกียรติยศของพวกเขา[24] อย่างไรก็ตาม แหล่งข้อมูลบางส่วนเช่น Rashid al-Din ระบุเป็นนับว่าพี่น้องของเยซุเกย์ยังคงหยัดยืนข้างเธอ เป็นไปได้ว่าโฮเอลุงอาจปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการแต่งงานกับพี่/น้องชายของผู้วายชนม์ หรือเป็นไปได้ว่าผู้นิพนธ์ ประวัติศาสตร์ลับ เขียนเล่าเรื่องราวเกินจริง[25] แหล่งข้อมูลทั้งหมดมีความเห็นตรงกันว่าผู้คนของเยซุเกย์ส่วนมากประกาศตัดขาดจากครอบครัวของเขา แลกกับการเข้าหาฝั่งทายิชิอด และครอบครัวของโฮเอลุงต้องเผชิญกับสถานการณ์ชีวิตที่แร้นแค้น[26] โฮเอลุงและลูก ๆ ต้องปรับมาใช้ชีวิตแบบผู้ล่าและหาของป่า เก็บรากพืชและถั่ว ล่าสัตว์เล็ก และจับปลา[27] ความกล้าหาญของเธอและลักษณะที่เธอสามารถปรับชีวิตให้เข้ากับสถานการณ์ได้นั้นมีความสำคัญอย่างมากต่อการอยู่รอดของครอบครัวเธอ[28]

เมื่อเด็ก ๆ โตขึ้นก็เริ่มเกิดความระหองระแหงระหว่างกัน ทั้งเทมุจิงและเบห์เทร์มีสิทธิ์อ้างเป็นผู้สืบทอดบิดาทั้งคู่ แม้ว่าเทมุจิงจะเป็นลูกของภรรยาเอก แต่เบห์เทร์แก่กว่าเทมุจิงอย่างน้อยสองปี นอกจากนี้ยังเป็นไปได้เช่นกันว่าภายใต้กฎการแต่งงานกับพี่/น้องที่เสียชีวิต (levirate law) เบห์เทร์สามารถจะแต่งงานกับโฮเอลุงหากได้รับเสียงสทวนมากสนับสนุนและกลายมาเป็นพ่อเลี้ยงของเทมุจิง[29] ความเสียดทานยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากการขัดแย้งกันเป็นประจำถึงการแบ่งเขตล่าสัตว์ระหว่างทั้งสอง ท้ายที่สุดเทมุจิงและน้องชาย กาซาร์ รวมตัวกันลอบโจมตีและสังหารเบห์เทร์ ข้อเท็จจริงอันขัดต่อจารีตนี้ถูกตัดออกจากพงศาวดารทางการ แต่ยังคงอยู่ใน ประวัติศาสตร์ลับ ซึ่งยังบอกเล่าต่ออีกว่า โฮเอลุงได้ว่ากล่าวเทมุจิงและกาซาร์อย่างรุนแรงว่าเป็นการกระทำที่มองถึงผลแค่ในระยะสั้น และเธอคิดว่าเป็นการกระทำเลียนแบบบรรพชนที่ทำไปอย่างวีรชนที่โง่เง่า[30]

ชิงกิสข่านเข้าพบท็อกฮรล ภาพเขียนในจอมิอ์แอลแทวอรีก, ศตวรรษที่ 15

เมื่อครั้นเทมุจิงแต่งงานกับโบร์เทตอนอายุได้สิบห้าปี พ่อแม่ของเธอมอบเสื้อคลุมเซเบิลสีดำแก่โฮเอลุง เธอยินยอมให้เทมุจิงนำเสื้อคลุมนี้ไปมอบแก่ท็อกฮรล ข่านแห่งชาวเคราไอต์ เพื่อยืนยันถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสอง[31] โฮเอลุงอาจยอมให้ความรับผิดชอบบางอย่างในแง่ของการใช้แรงงานแก่ลูกสะใภ้คนใหม่นี้ ทั้งโฮเอลุงและลูกสะใภ้ร่วมกันบริหารเศรษฐกิจและทรัพยากรในค่ายของเทมุจิง ช่วยให้เขาสามารถมีรากฐานในการเดินหน้าสู้รบต่อไปได้[32] โฮเอลุงเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ขณะโบร์เทและโซชิเก็ลถูกลักพาตัวโดยชาวเมร์คิตเพื่อแก้แค้นที่พวกตนถูกลักพาตัวไปเมื่อหลายปีก่อน ต่อมาโบร์เทได้ถูกพาตัสคืนกลับมาในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปี[33] คำแนะนำจากโฮเอลุงมีคุณค่าอย่างมากต่อเทมุจิง เมื่อเขาแยกทางกับจามุกา เขาได้หันกลับมาหาเธอและโบร์เทเพื่อขอคำปรึกษา[34] ตามที่ระบุใน ประวัติศาสตร์ลับ เธอยังรับเลี้ยงเด็กกำพร้าจำนวนมากในฐานะลูกเลี้ยงเพื่อเป็นพี่น้องกับลูก ๆ ของเธอ อย่างไรก็ตาม ด้วยปัญหาเชิงลำดับเวลาทำให้เป็นที่เชื่อกันว่าแท้จริงแล้ว ลูกเลี้ยงคนสำคัญที่สุด ซึ่งคือชิกิ โกโตโก รับเลี้ยงดูโดยโบร์เท[35]

หลังจามุกาเอาชนะเทมุงจิงได้ที่การยุทธที่ดาลันบัลจตในปี 1187 ผู้ติดตามของเขาจำนวนมากไม่พอใจกับการปฏิบัติต่อผู้ติดตามของเทมุจิงอย่างโหดร้าย ในบรรดาคนเหล่านี้รวมถึงมุงลิก (Münglig) และลูกของเขา ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาทิ้งครอบครัวไปได้ถูกลืม และพวกเขาได้รับการต้อนรับกลับมาถึงขั้นที่โฮเอลุงแต่งงานกับมุงลิก ซึ่งถือเป็นการแต่งงานครั้งที่สามและครั้งสุดท้ายของเธอ[36] ในปีให้หลัง ที่ซึ่งเหตุการณ์และสถานที่ของครอบครัวเทมุจิงแทบไม่เป็นที่ทราบเลยนั้น มีความเป็นไปได้ว่าโฮเอลุงทำการคลุมถุงชนแต่งงานให้กับลูกชายคนเล็กสุด เทมุเก และลูกสาวเทมุงเล็ง ตามที่พ่อของเขามักจะทำ เธอยังคงมีบทบาทอย่างมากในการคงซึ่งความสัมพันธ์ต่าง ๆ กับพันธมิตร ขณะที่เทมุจิงหลีกหนีไปพึ่งการปกป้องของราชวงศ์จินในจีน[37] เธออาจจะเดินทางเคียงข้างไปกับเขาเมื่อครั้นเทมุจิงเดินทางกลับมาสู่ทุ่งหญ้าสเตปป์ในปี 1196[38]

เทมุจิงสถาปนาตนขึ้นเป็นชิงกิส ข่าน ในปี 1206 ภาพเขียนใน จอมิอ์แอลแทวอรีก, ศตวรรษที่ 15

การสถาปนาของเทมุจิงขึ้นเป็นชิงกิส ข่านในปี 1206 เกิดขึ้นก่อนที่ชีวิตส่วนตัวของโฮเอลุงจะต้องเผชิญกับความโกลาหล ระหว่างการจัดโครลไท (kurultai; การประชุมพบปะใหญ่) ชิงกิส ข่าน ซึ่งพึ่งขึ้นสู่บัลลังก์ได้มอบรางวัลให้แก่ผู้ที่มีส่วนช่วยเหลึอเขาในการก้าวเข้าสู่อำนาจ ยี่สิบเอ็ดย่อหน้าใน ประวัติศาสตร์ลับ หมดไปกับการบันทึกรายละเอียดการตบรางวัลครั้งนี้[39] ส่วนโฮเอลุงมีรายงานว่าเธอได้รับรางวัลเป็นผู้ติดตาม 10,000 คน แต่เป็นรางวัลที่มอบให้ร่วมกับลูกชายคนเล็ก เทมุเก เธอรู้สึกว่ารางวัลนี้น้อยไปสำหรับส่วนร่วมที่เธอมี ในทางกลับกันนั้น มุนลิกกลับได้รับสิทธิพิเศษในการนั่งประจำทางขวามือของข่าน ทำให้เขาเป็นชายผู้ทรงอิทธิพลที่สุดเป็นอันดับสองในทุ่งหญ้าสเตปป์นี้ ด้วยเหตุการณ์นี้ ทำให้ความสัมพันธ์ของโฮเอลุงกับมุนลิกระหองระแหงลง[40]

หนึ่งในลูกชายของมุนลิก ชามานนามว่า โคเคชอ (Kokechu) ยังมีความพยายามจะท้าทายบัลลังก์ของชิงกิส ข่าน โคเคชอสามารถทำให้ชิงกิสแตกแยกกับน้องชาย กาซาร์ และ เทมุเก โดยที่มีโฮเอลุงพยายามต้านทานอย่างขยันขันแข็ง ต่อมา เธอและโบร์เทสามารถชักจูงให้ชิงกิสเชื่อว่าโคเคชอควรจะถูกกำจัด ที่ซึ่งเทมุเกกำจัดเขาสำเร็จในการแข่งขันมวยปล้ำที่จัดฉากขึ้นมา[41] ใน ประวัติศาสตร์ลับ กล่าวอ้างว่าโฮเอลุงซึ่งเหนื่อยล้ากับความพยายามทุ่มเทของเธอ เสียชีวิตลงไม่นานหลังจากนั้น อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์บางส่วน เช่น อีกอร์ เด ราเชวิลทซ์ เรียกเนื้อความช่วงนี้ว่าเป็นบทกวีเกินจริง (poetical melodrama) และเรื่องราวชีวิตของเธอที่เหลือไม่เป็นที่ทราบเท่านั้น[42] โฮเอลุงได้รับชื่อหลังเสียชีวิตว่าเป็น จักรพรรดินีซวนยี่ (宣懿皇后) ในสมัยราชวงศ์หยวน[43]

หมายเหตุ

[แก้]
  1. ในช่วงเวลานั้น คำว่า “ชาวมองโกล” มีไว้เรียกสมาชิกของเผ่าเดียวในมองโกเลียตะวันออกเฉียงเหนือเท่านั้น เนื่องจากเผ่านี้มีบทบาทอย่างมากต่อการสถาปนาจักรวรรดิมองโกล ในภายหลังชื่อ “ชาวมองโกล” นี้จึงถูกนำมาใช้เรียกชนเผ่าทั้งหมด[7]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Ratchnevsky 1991, pp. x–xi.
  2. Atwood 2004, p. 415.
  3. Atwood 2004, pp. 492–493.
  4. Ratchnevsky 1991, pp. xiv–xvi.
  5. Ratchnevsky 1991, p. 15; Atwood 2004, p. 456; May 2018, p. 20.
  6. Broadbridge 2018, pp. 44–45.
  7. Atwood 2004, pp. 389–391.
  8. Ratchnevsky 1991, pp. 14–15; Broadbridge 2018, p. 45.
  9. Broadbridge 2018, p. 45; May 2018, p. 21.
  10. Broadbridge 2018, p. 47; May 2018, p. 20.
  11. Broadbridge 2018, pp. 46–47; May 2018, pp. 21–22.
  12. Broadbridge 2018, p. 45.
  13. Ratchnevsky 1991, p. 15.
  14. Broadbridge 2018, pp. 45–46; Ratchnevsky 1991, pp. 15–16.
  15. Broadbridge 2018, p. 46.
  16. Atwood 2004, p. 97.
  17. Ratchnevsky 1991, pp. 17–19; Pelliot 1959, pp. 284–287; Morgan 1986, p. 55.
  18. Pelliot 1959, pp. 289–291; Man 2004, pp. 67–68; Ratchnevsky 1991, p. 17.
  19. Brose 2014, § "The Young Temüjin"; Pelliot 1959, p. 288.
  20. Ratchnevsky 1991, p. 17.
  21. Ratchnevsky 1991, pp. 15–19.
  22. Ratchnevsky 1991, pp. 20–21; Broadbridge 2018, p. 49.
  23. Ratchnevsky 1991; Broadbridge 2018, pp. 50–51.
  24. Ratchnevsky 1991, p. 22; May 2018, p. 25; Secret History, trans. Atwood 2023, § 71–73.
  25. Ratchnevsky 1991, pp. 22–23; Atwood 2004, pp. 97–98.
  26. Brose 2014, § "The Young Temüjin"; Atwood 2004, p. 98.
  27. May 2018, p. 25.
  28. Veit 2019, pp. 120–121, 129.
  29. May 2018, pp. 25–26.
  30. Ratchnevsky 1991, pp. 23–24; Secret History, trans. Atwood 2023, §76–78; Veit 2019, p. 129.
  31. Ratchnevsky 1991, p. 31; Broadbridge 2018, p. 57.
  32. Broadbridge 2018, p. 58.
  33. May 2018, pp. 29–30; Broadbridge 2018, pp. 58–59.
  34. Broadbridge 2018, p. 64.
  35. Atwood 2004, p. 492; Ratchnevsky 1993, pp. 76–77.
  36. Broadbridge 2018, p. 65.
  37. Broadbridge 2018, pp. 65–66; Ratchnevsky 1991, pp. 48–50.
  38. Broadbridge 2018, pp. 66–67.
  39. Broadbridge 2018, p. 69; Ratchnevsky 1991, p. 90.
  40. Broadbridge 2018, p. 69; Ratchnevsky 1991, pp. 95, 98.
  41. Biran 2012, pp. 44–45; Broadbridge 2018, pp. 69–70.
  42. Atwood 2004, p. 416; Broadbridge 2018, p. 71.
  43. Ke 1920, vol. 104.

บรรณานุกรม

[แก้]
  • Atwood, Christopher P. (2004). Encyclopedia of Mongolia and the Mongol Empire. New York: Facts on File. ISBN 978-0-8160-4671-3. สืบค้นเมื่อ 2 March 2022.
  • The Secret History of the Mongols. แปลโดย Atwood, Christopher. London: Penguin Classics. 2023. ISBN 978-0-2411-9791-2.
  • Biran, Michal (2012). Genghis Khan. Makers of the Muslim World. London: Oneworld Publications. ISBN 978-1-78074-204-5.
  • Broadbridge, Anne F. (2018). Women and the Making of the Mongol Empire. Cambridge Studies in Islamic Civilization. Great Barrington: Cambridge University Press. ISBN 978-1-1086-3662-9.
  • Brose, Michael C. (2014). "Chinggis (Genghis) Khan" (ebook). ใน Brown, Kerry (บ.ก.). The Berkshire Dictionary of Chinese Biography. Great Barrington: Berkshire Publishing Group. ISBN 978-1-933782-66-9.
  • Ke Shaomin (1920). "Vol. 104: Biographies 1: Empresses and Consorts". 新元史 [New History of Yuan]. Twenty-Five Histories (ภาษาจีน).
  • May, Timothy (2018). The Mongol Empire. Edinburgh: Edinburgh University Press. ISBN 9780748642373. JSTOR 10.3366/j.ctv1kz4g68.11.
  • Man, John (2004). Genghis Khan: Life, Death and Resurrection. London: Bantam Press. ISBN 978-0-3123-1444-6.
  • Morgan, David (1986). The Mongols. The Peoples of Europe. Oxford: Blackwell Publishing. ISBN 978-0-631-17563-6.
  • Pelliot, Paul (1959). Notes on Marco Polo. Vol. I. Paris: Imprimerie nationale. OCLC 1741887.
  • Ratchnevsky, Paul (1991). Genghis Khan: His Life and Legacy. แปลโดย Thomas Haining. Oxford: Blackwell Publishing. ISBN 978-06-31-16785-3.
  • Ratchnevsky, Paul (1993). "Sigi Qutuqu (c. 1180–c. 1260)". ใน de Rachewiltz, Igor (บ.ก.). In the Service of the Khan: Eminent Personalities of the Early Mongol-Yüan Period (1200-1300). Wiesbaden: Harrassowitz Verlag. pp. 75–94. ISBN 9783447033398.
  • Veit, Veronika (2019). "Die Stärke der Frau zur Zeit des Mongolischen Weltreiches" [The Strength of Women at the time of the Mongol Empire]. ใน Barkmann, Udo; Altangerel, Ganchimeg (บ.ก.). Familie und gesellschaftlicher: Transformationsprozess in der Mongolei [Family and Society: The Transformation Process in Mongolia] (ภาษาเยอรมัน). Münster: LIT Verlag. pp. 107–130. ISBN 978-3-6431-4363-1.
{{bottomLinkPreText}} {{bottomLinkText}}
โฮเอลุง
Listen to this article

This browser is not supported by Wikiwand :(
Wikiwand requires a browser with modern capabilities in order to provide you with the best reading experience.
Please download and use one of the following browsers:

This article was just edited, click to reload
This article has been deleted on Wikipedia (Why?)

Back to homepage

Please click Add in the dialog above
Please click Allow in the top-left corner,
then click Install Now in the dialog
Please click Open in the download dialog,
then click Install
Please click the "Downloads" icon in the Safari toolbar, open the first download in the list,
then click Install
{{::$root.activation.text}}

Install Wikiwand

Install on Chrome Install on Firefox
Don't forget to rate us

Tell your friends about Wikiwand!

Gmail Facebook Twitter Link

Enjoying Wikiwand?

Tell your friends and spread the love:
Share on Gmail Share on Facebook Share on Twitter Share on Buffer

Our magic isn't perfect

You can help our automatic cover photo selection by reporting an unsuitable photo.

This photo is visually disturbing This photo is not a good choice

Thank you for helping!


Your input will affect cover photo selection, along with input from other users.

X

Get ready for Wikiwand 2.0 🎉! the new version arrives on September 1st! Don't want to wait?