For faster navigation, this Iframe is preloading the Wikiwand page for พระปรมาภิไธย (พระมหากษัตริย์ไทย).

พระปรมาภิไธย (พระมหากษัตริย์ไทย)

ลายพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงลงพระปรมาภิไธย "สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร" ประทับกำกับด้วยพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ในรัชกาลที่ 9 จากหน้าต้นของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2495

พระปรมาภิไธย (พระ+ปรม+อภิไธย แปลว่า ชื่ออันประเสริฐยิ่ง)[1] หมายถึง พระนามของพระมหากษัตริย์ราชเจ้า ตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏ หลังจากที่ได้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว ซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 1 และใช้มาจนถึงพระมหากษัตริย์พระองค์ปัจจุบัน

ธรรมเนียมการเฉลิมพระปรมาภิไธยในราชวงศ์จักรี

แบบแผนพระปรมาภิไธยซึ่งใช้มาแต่เดิม

แต่เดิมนั้นพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีรัชกาลที่ 1-3 นั้น ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยของพระองค์เองโดยขึ้นต้นว่า “สมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี” และมีสร้อยพระนามเหมือนกันทั้ง 3 รัชกาล ราษฎรจึงต้องสมมตินามแผ่นดินเอาเองเมื่อกล่าวถึงพระมหากษัตริย์แต่ละรัชกาล ในสมัยรัชกาลที่ 3 ราษฎรได้เรียกนามแผ่นดินรัชกาลที่ 1 ว่า "แผ่นดินต้น" รัชกาลที่ 2 ว่า "แผ่นดินกลาง" รัชกาลที่ 3 ว่า "แผ่นดินนี้" ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 ไม่ทรงโปรดการออกนามแผ่นดินดังกล่าว เนื่องจากทรงเกรงว่าต่อไปราษฎรจะเรียกรัชกาลของพระองค์ว่า "แผ่นดินปลาย" หรือ "แผ่นดินสุดท้าย" อันเป็นอัปมงคล จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธรูปฉลองพระองค์พระมหากษัตริย์สองรัชกาลแรก ประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม องค์หนึ่งถวายพระนามว่า "พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก" อุทิศถวายสมเด็จพระบรมอัยกาธิราชรัชกาลที่ 1 และอีกองค์หนึ่งถวายพระนามว่า "พระพุทธเลิศหล้าสุราไลย" (ต่อมารัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ถวายสร้อยพระนามใหม่ว่า "พระพุทธเลิศหล้านภาไลย") อุทิศถวายสมเด็จพระบรมชนกนาถรัชกาลที่ 2 และโปรดเกล้าฯ ให้เรียกนามแผ่นดินของพระมหากษัตริย์ทั้งสองรัชกาลตามนามพระพุทธรูปทั้งสององค์นี้[2]

การเปลี่ยนแปลงธรรมเนียม และพระนาม "ปรมินทร-ปรเมนทร"

พระพุทธรูปฉลองพระองค์
พระมหากษัตริย์สองรัชกาลแรกแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์
ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
พระพุทธเลิศหล้านภาไลย
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 4 แห่งราชวงศ์จักรี ทรงมีพระราชดำริว่าพระนามของพระมหากษัตริย์สืบไปภายหน้าควรใช้แตกต่างกันทุกรัชกาล เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในการออกนามแผ่นดินเช่นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว จึงทรงถวายพระนามแก่สมเด็จพระบูรพกษัตริย์รัชกาลก่อนหน้าพระองค์ทั้งสามรัชกาลดังนี้[3]

นอกจากนี้ยังทรงกำหนดหลักการเฉลิมพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ตามลำดับรัชกาล โดยรัชกาลที่เป็นเลขคี่ให้ใช้คำว่า "ปรมินทร" รัชกาลเลขคู่ให้ใช้คำว่า "ปรเมนทร" เป็นเครื่องหมายสังเกต พระนามพระมหากษัตริย์ไทยตามหลักพระราชนิยมดังกล่าวตั้งแต่รัชกาลที่ 4 เป็นต้นมามีดังนี้

พระนาม "รามาธิบดีศรีสินทร"

พระบรมรูปพระมหากษัตริย์ไทยแห่งราชวงศ์จักรี รัชกาลที่ 1-8 จัดแสดง ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย จังหวัดนครปฐม

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีโดยใช้คำนำหน้าพระนามว่า "รามาธิบดีศรีสินทร" ทุกรัชกาล เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2459[6] ดังนี้

  • รัชกาลที่ 1: พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาจักรีบรมนาถ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก หรือ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1
  • รัชกาลที่ 2: พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาอิศรสุนทร พระพุทธเลิศหล้านภาลัย หรือ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2
  • รัชกาลที่ 3: พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาเจษฏาธิบดินทร์ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 3
  • รัชกาลที่ 4: พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหามงกุฏ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 4
  • รัชกาลที่ 5: พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 5
  • รัชกาลที่ 6: พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 6

ส่วนในภาคภาษาอังกฤษนั้น โปรดเกล้าฯ ให้ใช้คำว่า "Rama" แล้วตามด้วยหมายเลขลำดับรัชกาลแบบเลขโรมันตามธรรมเนียมยุโรป

แต่เมื่อรัชกาลที่ 7 เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ พระองค์ได้ทรงประกาศให้การใช้พระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์กลับไปเป็นตามแบบพระราชนิยมของรัชกาลที่ 4 เช่นเดิม เว้นแต่พระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ยังคงใช้ว่าพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ และใช้มาจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม การใช้คำว่า "Rama" ในภาคภาษาอังกฤษ แล้วตามด้วยหมายเลขลำดับรัชกาลเพื่อสื่อถึงพระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ยังคงใช้สืบมาจนถึงปัจจุบัน

การเฉลิมพระปรมาภิไธยในรัชกาลที่ 10

สำหรับพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี ได้มีการเฉลิมพระปรมาภิไธยของพระองค์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก[7] ว่า "พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว"[8] นับเป็นครั้งแรกที่ได้มีการเฉลิมพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีโดยใช้หลักพระราชนิยม "ปรมินทร-ปรเมนทร" ในรัชกาลที่ 4 และหลักพระราชนิยม "รามาธิบดีศรีสินทร" ในรัชกาลที่ 6 ร่วมกัน

อนึ่ง พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระปรมาภิไธยบูรพกษัตริย์ในราชวงศ์จักรีเพื่อถวายพระราชสมัญญานาม "มหาราช" ดังนี้

  1. เฉลิมพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระบรมชนกนาถในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น "พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร" เพื่อสนองพระเดชพระคุณ ถวายพระเกียรติยศให้ปรากฏแผ่ไพศาลยิ่งขึ้น เมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของสมเด็จพระบรมชนกนาถ[9]
  2. เฉลิมพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและถวายพระราชสมัญญานามว่า "พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช" เมื่อวันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2562 ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[10]

การลงพระปรมาภิไธยในเอกสารราชการ

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธย "สยามินทร์" ในประกาศนียบัตรสำหรับผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นที่ 3 นิภาภรณ์ พระราชทานแก่ศาสตราจารย์กาลิเลโอ คินี จิตรกรชาวอิตาลีผู้วาดภาพประดับโดมเพดานของพระที่นั่งอนันตสมาคม เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2456

การทรงลงพระปรมาภิไธยในเอกสารสำคัญต่างๆ ของพระมหากษัตริย์ไทย เริ่มปรากฏหลักฐานครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปรากฏหลักฐานการลงพระปรมาภิไธยในแต่ละรัชกาลดังนี้

รัชกาลที่ 4
ทรงลงพระปรมาภิไธยว่า "สมเด็จพระปรเมนทรมหามกุฎ พระจอมเกล้าเจ้ากรุงสยาม" ในกรณีที่เป็นเอกสารภาษาต่างประเทศจะทรงลงพระปรมาภิไธยว่า "SPPM. Mongkut Rex Siamensium"
รัชกาลที่ 5
ทรงลงพระปรมาภิไธยว่า "จุฬาลงกรณ์ ปร." หรือ "สยามินทร์"
รัชกาลที่ 6
ทรงลงพระปรมาภิไธยว่า ช่วงต้นรัชกาลทรงลงพระปรมาภิไธยว่า "วชิราวุธ ปร." หรือ "สยามินทร์" ภายหลังทรงเปลี่ยนเป็น "ราม วชิราวุธ ปร." หรือ "ราม ร."
รัชกาลที่ 7
ทรงลงพระปรมาภิไธยว่า "ประชาธิปก ปร."
รัชกาลที่ 8
ทรงลงพระปรมาภิไธยว่า "อานันทมหิดล" ในกรณีที่เป็นเอกสารภาษาต่างประเทศจะทรงลงพระปรมาภิไธยว่า "A. Mahidol."
รัชกาลที่ 9
โดยทั่วไปทรงลงพระปรมาภิไธยว่า "ภูมิพลอดุลยเดช ปร." ในเอกสารบางแห่งทรงลงพระปรมาภิไธยว่า "สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร" ในกรณีที่เป็นเอกสารภาษาต่างประเทศจะทรงลงพระปรมาภิไธยว่า "Bhumibol R."
รัชกาลทึ่ 10
ทรงลงพระปรมาภิไธยดังภาพตัวอย่างเบื้องล่าง โดยในช่วงที่พระองค์ขึ้นทรงราชย์ก่อนการบรมราชาภิเษก เอกสารของทางราชการกำหนดให้อ่านว่า "มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร" ภายหลังเมื่อทรงกระทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว ทางราชการจึงกำหนดให้อ่านอย่างใหม่ว่า "มหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว"

พระปรมาภิไธยย่อ

พระปรมาภิไธยย่อ คือ การย่อพระปรมาภิไธยให้เหลือเพียง 3 ตัวอักษร โดยส่วนมาก มักใช้เป็น ตราสัญลักษณ์ประจำพระองค์ และ ตราสัญลักษณ์งานพระราชพิธี และงานเฉลิมพระเกียรติ ในวโรกาสสำคัญต่าง ๆ [11] ดังนี้

รัชกาลที่ พระนามย่อ พระนามเต็ม
1 จปร มหาจักรีบรมนาถ ปรมราชาธิราช
2 อปร มหาอิศรสุนทร ปรมราชาธิราช
3 จปร มหาเจษฎาบดินทร ปรมราชาธิราช
4 มปร มหามงกุฎ ปรมราชาธิราช
5 จปร มหาจุฬาลงกรณ์ ปรมราชาธิราช
6 วปร มหาวชิราวุธ ปรมราชาธิราช
7 ปปร มหาประชาธิปก ปรมราชาธิราช
8 อปร มหาอานันทมหิดล ปรมราชาธิราช
9 ภปร มหาภูมิพลอดุลยเดช ปรมราชาธิราช
10 วปร มหาวชิราลงกรณ ปรมราชาธิราช[12]

ในกรณีที่อักษรย่อพระปรมาภิไธยของบางพระองค์ซ้ำกัน จะมีการระบุหมายเลขประจำรัชกาลกำกับข้างท้ายให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งในตราอักษรย่อพระปรมาภิไธยประจำพระองค์โดยปกติจะระบุหมายเลขประจำรัชกาลไว้ที่ระหว่างกรรเจียกจรของพระมหาพิชัยมงกุฎ

อนึ่ง พระมหากษัตริย์บางพระองค์อาจทรงใช้อักษรพระปรมาภิไธยย่อมากกว่า 1 แบบ เช่น รัชกาลที่ 5 ทรงใช้พระปรมาภิไธยย่อ ส.พ.ป.ม.จ.5 และ จ.จ.จ. เป็นต้น และแม้ดวงตราอักษรพระปรมาภิไธยย่อที่ใช้ตัวอักษรเดียวกันสำหรับพระมหากษัตริย์รัชกาลเดียวกัน ก็อาจมีการประดิษฐ์ดวงตราเพื่อใช้งานในหลากหลายรูปลักษณ์ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนขึ้นอยู่กับพระราชนิยมส่วนพระองค์

พระบรมนามาภิไธย

พระบรมนามาภิไธย หมายถึง พระนามเดิมของพระมหากษัตริย์ ก่อนจะเสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติ [1]

อ้างอิง

  1. 1.0 1.1 ศ.ดร.กาญจนา นาคสกุล, คลังความรู้: พระปรมาภิไธย-พระบรมนามาภิไธย จาก เว็บไซต์ ราชบัณฑิตยสถาน
  2. 2.0 2.1 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ. "พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๕ - ตอนที่ ๕". vajirayana.org. สืบค้นเมื่อ 2018-11-27.
  3. เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค). "พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชชกาลที่ ๔ พ.ศ. ๒๓๙๔ – ๒๔๑๑ ฉะบับเจ้าพระยาทิพากรวง - ๒๐. ถวายพระนามพระเจ้าแผ่นดิน พระบรมราชชนนี และกรมพระราชวังบวรที่สวรรคตแล้ว". vajirayana.org. สืบค้นเมื่อ 2018-11-27.
  4. ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศ เฉลิมพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล, เล่ม 63, ตอน 54ก, 13 สิงหาคม พ.ศ. 2489, หน้า 439
  5. ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศ เฉลิมพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล, เล่ม 113, ตอน 11ข, 8 มิถุนายน พ.ศ. 2539, หน้า 1
  6. ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศ เฉลิมพระปรมาภิไธย, เล่ม 33, ตอน 0ก, 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2459, หน้า 212
  7. "หมายกำหนดการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 136 (13ข): 1. 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2562. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2019-05-04. สืบค้นเมื่อ 2019-08-12. ((cite journal)): ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  8. "พระบรมราชโองการ ประกาศ เรื่อง พระปรมาภิไธย พระนามาภิไธย คำอ่าน และสรรพนาม คำขึ้นต้น คำลงท้าย ในการกราบบังคมทูล กราบทูล" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 136 (พิเศษ 117ก): 1. 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2562. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2019-05-04. สืบค้นเมื่อ 2019-08-12. ((cite journal)): ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  9. "พระบรมราชโองการ ประกาศเฉลิมพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 136 (15ข): 1. 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2019. ((cite journal)): ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  10. พระบรมราชโองการ ประกาศถวายพระราชสมัญญา พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช
  11. ศาสตราจารย์(พิเศษ)จำนงค์ ทองประเสริฐ, คลังความรู้: พระปรมาภิไธยย่อ โดย จาก จดหมายข่าวราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ 4 ฉบับที่ 43 เดือนธันวาคม พ.ศ. 2537
  12. รายชื่อของพระมหากษัตริย์ราชเจ้า
{{bottomLinkPreText}} {{bottomLinkText}}
พระปรมาภิไธย (พระมหากษัตริย์ไทย)
Listen to this article

This browser is not supported by Wikiwand :(
Wikiwand requires a browser with modern capabilities in order to provide you with the best reading experience.
Please download and use one of the following browsers:

This article was just edited, click to reload
This article has been deleted on Wikipedia (Why?)

Back to homepage

Please click Add in the dialog above
Please click Allow in the top-left corner,
then click Install Now in the dialog
Please click Open in the download dialog,
then click Install
Please click the "Downloads" icon in the Safari toolbar, open the first download in the list,
then click Install
{{::$root.activation.text}}

Install Wikiwand

Install on Chrome Install on Firefox
Don't forget to rate us

Tell your friends about Wikiwand!

Gmail Facebook Twitter Link

Enjoying Wikiwand?

Tell your friends and spread the love:
Share on Gmail Share on Facebook Share on Twitter Share on Buffer

Our magic isn't perfect

You can help our automatic cover photo selection by reporting an unsuitable photo.

This photo is visually disturbing This photo is not a good choice

Thank you for helping!


Your input will affect cover photo selection, along with input from other users.

X

Get ready for Wikiwand 2.0 🎉! the new version arrives on September 1st! Don't want to wait?